ทริสฯคงเครดิตหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 3,000 ลบ.THANI ที่ระดับ “A-/Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 29, 2016 14:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ของ บมจ. ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) ที่ระดับ “A-" ในขณะเดียวกันยังยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A-" ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable" หรือ “คงที่"

ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้เงินกู้เดิมและใช้ในการขยายสินเชื่อ อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทอันเนื่องมาจากสถานะทางการตลาดและผลประกอบการทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีเสถียรภาพแม้ภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวย

อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีประสบการณ์สูงในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ใช้แล้วและรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ รวมถึงการพัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติงานและระบบบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือธนาคารธนชาต จากัด (มหาชน) ซึ่งอันดับเครดิตของบริษัทได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทเอง เนื่องจากปัจจุบันบริษัทจัดเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของธนาคารธนชาต

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนจากประเด็นกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรงและคุณภาพสินเชื่อของบริษัทที่อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรแม้ว่าคุณภาพสินเชื่อจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็ตาม

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าผู้บริหารที่มากประสบการณ์ ตลอดจนประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่ปรับตัวดีขึ้น และการสนับสนุนจากธนาคารแม่จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายสินเชื่อในตลาดเป้าหมายได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมและรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้และรักษาระดับในการทำกำไรที่ดี อีกทั้ง การสนับสนุนจากธนาคารแม่ยังคาดว่าจะมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือในด้านเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทมีจำกัดในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้าหลังจากการปรับอันดับเครดิตในครั้งก่อน ในทางกลับกัน อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลงหากสถานะทางการตลาดของบริษัทอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง หรือสถานะความเสี่ยงและโครงสร้างเงินทุนถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ

การเปลี่ยนแปลงของระดับการสนับสนุนจากธนาคารแม่ที่มีต่อบริษัท หรือการเปลี่ยนแปลงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อธนาคารแม่อาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทในอนาคต

THANI มีสถานะเป็นบริษัทลูกของธนาคารธนชาตมาตั้งแต่ปี 2553 หลังจากการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กับธนาคารธนชาต พร้อมทั้งมีการปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ปัจจุบันธนาคารธนชาตจัดให้บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มควบรวมแบบ Non-Solo Consolidation ตามกฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แม้ว่าธุรกิจหลักของบริษัทคือธุรกิจสินเชื่อรถยนต์จะทับซ้อนกับธุรกิจของธนาคารธนชาต ทว่าบริษัทและธนาคารก็มีผลิตภัณฑ์และตลาดเป้าหมายที่ต่างกัน ธนาคารธนชาตมีความตั้งใจที่จะให้บริษัทเน้นกลุ่มตลาดที่ธนาคารธนชาตยังเข้าไม่ถึง

นอกจากนี้ ธนาคารธนชาตยังได้ให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทในการพัฒนากระบวนการอนุมัติสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้วย โดยมีการนำนโยบายการบริหารความเสี่ยงในด้านต่างๆ มาใช้ในบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของธนาคารธนชาต ล่าสุด บริษัทได้เปลี่ยนระบบสารสนเทศและบัญชีสำหรับธุรกิจเช่าซื้อมาใช้ระบบเดียวกับของธนาคารธนชาต ทั้งนี้ บริษัทยังได้รับคำแนะนาอย่างใกล้ชิดจากธนาคารแม่และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. ผ่านการกำกับดูแลจากธนาคารแม่ด้วยเช่นกัน

บริษัทมีความคล่องตัวทางการเงินมากขึ้นหลังจากมีสถานะเป็นบริษัทลูกของธนาคารธนชาตซึ่งทำให้บริษัทได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินเพิ่มมากขึ้นอันจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันและช่วยสนับสนุนความพยายามในการขยายธุรกิจของบริษัท บริษัทสามารถยกระดับสถานะทางการตลาดได้อย่างต่อเนื่องโดยสะท้อนจากการเติบโตที่สม่าเสมอของสินเชื่อ

ทั้งนี้ ระหว่างปี 2550-2556 สินเชื่อของบริษัทเติบโตในอัตรามากกว่า 10% มาโดยตลอด โดยสินเชื่อรวมมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีในช่วง 6 ปีดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 45% ในปี 2550 สินเชื่อรวมอยู่ที่ 2,854 ล้านบาท และเติบโตอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 27,421 ล้านบาทในปี 2556 อย่างไรก็ดี ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวตั้งแต่ปีก่อนทำให้อัตราการเติบโตของสินเชื่อลดลง ทั้งนี้ สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 28,224 ล้านบาทในปี 2557 อยู่ที่ 29,921 ล้านบาทในปี 2558 และอยู่ที่ 32,946 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 หรือเพิ่มขึ้น 10.1% จากสิ้นปี 2558

บริษัทเน้นการให้บริการสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์มาตั้งแต่ปี 2549 โดยสินเชื่อในกลุ่มนี้คิดเป็น 65% ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คงค้างของบริษัท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 เนื่องจากสินเชื่อสาหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์จัดเป็นสินเชื่อที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ บริษัทจึงได้พยายามชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การเรียกเก็บเงินดาวน์ที่เพิ่มขึ้น และการให้ชาระเช็คลงวันที่ล่วงหน้า เป็นต้น

การเติบโตอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปีที่ผ่านมาและผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในการปล่อยสินเชื่อรถบรรทุกได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของคณะผู้บริหารของบริษัทในธุรกิจสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทปรับลดลงอย่างต่อเนื่องเกือบทุกปีนับตั้งแต่ปี 2551 ถึงปี 2555 โดยลดลงจาก 4.9% ในปี 2551 เป็น 2.3% ในปี 2555 อย่างไรก็ดี อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 3.6% ในปี 2556 และอยู่ในระดับสูงสุดที่ระดับ 5.2% ในปี 2557 เนื่องจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ ในปี 2558 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่ 4.6% เนื่องจากการตัดหนี้สูญ รวมทั้งจากการขายหนี้ด้อยคุณภาพ การปรับโครงสร้างหนี้ และกระบวนการติดตามหนี้ที่เข้มงวด ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 4.5% อย่างไรก็ดี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ทริสเรทติ้งยังคงมีความกังวลต่อคุณภาพสินเชื่อของบริษัท

ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญในปี 2555 และ 2556 อย่างไรก็ดี การชะลอตัวของเศรษฐกิจในปี 2557 ทำให้บริษัทต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวนมากถึง 432 ล้านบาท โดยในปีดังกล่าว บริษัทมีกำไรสุทธิ 704 ล้านบาท ลดลง 4% จากปี 2556 ในปี 2558 บริษัทยังมีกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นที่ 749 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.4% จากปี 2557 สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทมีกาไรสุทธิ 644 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 579 ล้านบาท สำหรับอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 2.55% ในปี 2557 เป็น 2.61% ในปี 2558 อัตราส่วนดังกล่าวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 2.80% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว)

การเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของธนาคารธนชาตทำให้ทริสเรทติ้งลดความกังวลเกี่ยวกับสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินลงไป การปรับโครงสร้างเงินทุนในเดือนพฤศจิกายน 2554 ทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นเป็น 17.2% ณ สิ้นปี 2554 บริษัทใช้ความยืดหยุ่นทางการเงินที่มีมากขึ้นในการขยายสินเชื่อในปี 2555 และปี 2556 ส่งผลให้อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงเป็น 13.1% ณ สิ้นปี 2555 ถึงแม้บริษัทจะเสริมฐานทุนในปี 2556 ด้วยการจ่ายหุ้นปันผล กระนั้นอัตราส่วนดังกล่าวก็ยังลดลงเป็น 11.8% ณ สิ้นปี 2556 อันเนื่องมาจากการขยายสินเชื่ออย่างรวดเร็วในช่วงเวลาดังกล่าว

ในปี 2557 บริษัทยังคงจ่ายหุ้นปันผลในขณะที่สินเชื่อเติบโตน้อยลง ส่งผลให้อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นเป็น 13.9% ในปี 2557 และ 15.5% ในปี 2558 เมื่อพิจารณาถึงอัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 ที่ระดับ 14.5% รวมถึงระดับความสามารถในการทำกำไรและนโยบายการจ่ายปันผลในอนาคตแล้วคาดว่าอัตราดังกล่าวน่าจะเพียงพอสำหรับการเติบโตของสินเชื่อรวมในระดับประมาณ 10% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่การขยายตัวทางธุรกิจที่นอกเหนือจากที่คาดการณ์ไว้นั้นบริษัทก็อาจต้องมีการปรับโครงสร้างเงินทุนใหม่เพื่อให้มีฐานทุนที่พอเพียง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ