โบรกฯเห็นพ้อง"ซื้อ"MINT เล็งงบฯ Q1/60 ฟื้นตัวจากธุรกิจรร.-อาหารหลังหมดผลกระทบช่วงไว้อาลัย,ราคาหุ้นยังถูก

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 31, 2017 15:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) มองผลประกอบการในไตรมาส 1/60 น่าจะดีขึ้นจากการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารก็ดีขึ้น หลังช่วงไตรมาส 4/59 ธุรกิจในประเทศได้รับผลกระทบจากช่วงไว้อาลัย มองช่วงต่อจากนี้จนถึงสิ้นปีน่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติตามการท่องเที่ยวในประเทศที่ขยายตัวได้ดี และธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศฟื้นตัวเช่นกัน

นอกจากนี้ ราคาหุ้น MINT ที่ปรับตัวลงมากกว่า 10% ในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ปัจจุบันราคาหุ้นถูกซื้อขายด้วย PER และ PBV ที่ต่ำเพียง 24 เท่า และ 3.5 เท่า ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตทั้งสิ้น และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโรงแรมในภูมิภาคที่ 28X ในขณะที่คาดว่ากำไรจะโตเฉลี่ย 21% ในช่วงปี 59-62

ราคาหุ้น MINT พักเที่ยงอยู่ที่ 35.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท (+1.44%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.65%

          โบรกเกอร์                  คำแนะนำ             ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          โนมูระ พัฒนสิน                 ซื้อ                       50
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)            ซื้อ                       48
          เออีซี                        ซื้อ                       46
          เคจีไอ (ประเทศไทย)           ซื้อ                       45
          กรุงศรี                       ซื้อ                       43
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)   ซื้อ                       41

นายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้เหตุผลแนะนำ"ซื้อ"หุ้น MINT ด้วยราคาเป้าหมาย 48 บาท/หุ้น และขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับประมาณการ โดยมองว่าผลประกอบการในไตรมาส 1/60 น่าจะดีขึ้นจากการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอาหาร ส่วนในไตรมาส 2-4/60 ก็น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ เนื่องจากยอดจองนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา และธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศก็ฟื้นตัวดีขึ้น อย่างที่มัลดีฟก็กลับมาดีขึ้น และโรงแรม Tivoli ในปี 59 มีการปรับปรุง ขณะนี้ได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้สามารถกลับมาดำเนินการได้เป็นปกติ รายได้ก็น่าจะกลับเข้ามา

พร้อมคาดการณ์กำไรสุทธิปี 60 ไว้ที่ 6,519 ล้านบาท ลดลงจากปี 59 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 7,239 ล้านบาท เนื่องจากมีรายการพิเศษจากกำไรจากการลงทุนใน Tivoli ส่วนปี 58 ก็มีกำไรสุทธิ 7,040 ล้านบาท ซึ่งก็มีรายการพิเศษเข้ามาด้วย

ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น MINT แม้มองว่าระยะสั้นจะได้รับปัจจัยกดดันจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/59 ที่ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในประเทศได้รับผลกระทบจากช่วงไว้อาลัย โดยในส่วนธุรกิจโรงแรมมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เติบโตได้เพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่สามารถชดเชยธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศทั้งมัลดีฟส์และ Tivoli ที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของ Tivoli ด้วย จึงคาด RevPar รวมของพอร์ตจะลดลงจากปีก่อน

ส่วนธุรกิจอาหารนั้นคาดว่ารายได้ต่อสาขาเดิม (SSS) พลิกกลับมาเป็นลบ นอกจากนี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังไม่มีรายได้จากการโอน Anantara Layan แต่มีเพียงการโอนคอนโดมิเนียมที่เชียงใหม่ และ The Maputo แต่เป็นขนาดเล็กไม่สามารถชดเชยได้

แต่คาดว่าผลประกอบการของ MINT ในไตรมาส 1/60 จะกลับมาเติบโตได้ทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ตามการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารหลังจากหมดผลกระทบช่วงไว้อาลัย และสามารถรับรู้รายได้จาก Anantara Layan ได้สูงกว่าในไตรมาส 1/59 ที่ผ่านมา รวมถึงคาดในปี 60 ผลประกอบการจะยังเติบโตได้จากปี 59 โดยคาดทั้งธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร จะมีผลประกอบการที่เติบโตได้ดีกว่าในปีก่อน

ส่วน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น MINT มองการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะสั้นจะมาจากธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพฯ และมัลดีฟ ตามมาด้วยธุรกิจโรงแรมในออสเตรเลียและโปรตุเกส ซึ่งเป็นผลจากอุปทานที่จำกัดและการเคลื่อนไหวของค่าเงิน โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมากกว่า 10% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ปัจจุบันราคาหุ้นถูกซื้อขายด้วย PER และ PBV ที่ต่ำเพียง 24 เท่า และ 3.5 เท่า ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตทั้งสิ้น

สินทรัพย์โรงแรมมีแนวโน้มดีขึ้นในปี 60 โดยธุรกิจในโปรตุเกส แบรนด์ Tivoli เริ่มส่งสัญญาณเชิงบวกจากราคาต่อคืนและอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้นหลังจากมีการปรับปรุง ส่วนโรงแรมในมัลดีฟน่าจะทรงตัวหลังอุปทานมีแนวโน้มชะลอตัวลง นอกจากนี้ค่าเงินบาทต่อออสเตรเลียดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง ทำให้รายได้ในสกุลเงินบาทของธุรกิจในออสเตรเลียเพิ่มสูงขึ้น และที่สำคัญคาดว่าธุรกิจที่อยู่อาศัยและบ้านพักตากอากาศน่าจะปรับตัวดีขึ้นทั้งการเข้าพักและราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนธุรกิจอาหารจานด่วนทรงตัวในปีนี้

นอกจากนี้ MINT ยังคงตั้งแผนรองรับการเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า ด้วยเงินลงทุน 4 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าที่จะครอบครองโรงแรมจำนวน 250 แห่งภายในปี 64 เพิ่มขึ้น 67% จากปี 59 , ที่อยู่อาศัยจำนวน 300 แห่ง เพิ่มขึ้น 131% จากปี 59 , ร้านอาหารจำนวน 3,400 ร้าน เพิ่มขึ้น 70% จากปี 59 และห้างค้าปลีก จำนวน 500 แห่ง เพิ่มขึ้น 53% จากปี 59

สำหรับ บล.กรุงศรี คาดว่ากำไรของ MINT จะฟื้นตัวในไตรมาส 1/60 โดยที่ปัจจัยขับเคลื่อนกำไรปี 60 ได้แก่ การปรับปรุงโรงแรม Tivoli และธุรกิจโครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลาของกลุ่มอนันตรา (AVC) ที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ แนวโน้มในไตรมาส 1/60 ดูสดใส เนื่องจากผู้บริหารส่งสัญญาณว่ายอดจองห้องพักล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในเดือน ม.ค.และยอดขายสาขาเดิม ในประเทศไทยดีดตัวกลับมาเป็นบวกได้อีกครั้งในเดือน ม.ค.และคาดว่าจะขายบ้านในโครงการ The Residence by Anantara ได้อีก 2-3 หลังในไตรมาส 1/60

นอกจากนี้ ราคาหุ้น MINT ซื้อขายอยู่ในระดับที่น่าสนใจที่ P/E ปี 60 ที่ 26X ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโรงแรมในภูมิภาคที่ 28X ในขณะที่คาดว่ากำไรจะโตเฉลี่ยถึง 21% ในช่วงปี 59-62


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ