บลจ.กสิกรไทยมองหุ้นไทย H1/60 เสี่ยงเงินไหลกลับแต่กระทบจำกัด,คงเป้าดัชนี SET ปลายปีที่ 1,690 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 9, 2017 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารทุน บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ว่า ช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นไทยอาจเผชิญกับความเสี่ยงจากเม็ดเงินที่ไหลกลับเข้าสหรัฐฯ แต่ด้วยเศรษฐกิจไทยที่ยังสามารถฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่องและฐานะการเงินของประเทศที่แข็งแกร่ง ทำให้ผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมีค่อนข้างจำกัด อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากรัฐบาลที่ยังคงดำเนินนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานตามแผนต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา ขณะที่ตัวเลขภาคการส่งออกของไทยที่ชะลอตัวลง คาดว่ารัฐบาลจะยังคงพยายามประคองเศรษฐกิจด้วยการสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการบริโภคภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตามองคือ การดำเนินนโยบายอย่างเป็นทางการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เนื่องจากอาจส่งผลถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตร อัตราเงินเฟ้อ และการดำเนินนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ซึ่งจะส่งผลต่อกระแสเงินทุนไหลเข้าออกของนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งนโยบายทางการค้าที่อาจส่งผลต่อภาคการส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทยด้วย แต่ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปลายปี 2560 อยู่ 1,690 จุด

นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทย มีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเค หุ้นปันผล (K-VALUE) ในอัตรา 0.60 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 - 31 มกราคม 2560 โดยจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 มกราคม 2560 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 189.62 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-VALUE ที่ผ่านมา นางสาวธิดาศิริกล่าวว่า หากนับรวมการจ่ายปันผลในครั้งนี้ด้วย กองทุนมีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 21 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 9.30 บาทต่อหน่วย โดยในรอบผลดำเนินงาน 12 เดือนที่ผ่านมา (1 ก.พ. 59 – 31 ม.ค. 60) กองทุนมีการจ่ายปันผล 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้นในอัตรา 0.90 บาทต่อหน่วย หรือสามารถคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย (Dividend Yield) อยู่ที่ 13.23% ต่อปี ขณะที่กองทุนดังกล่าวมีผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนและ 1 ปีอยู่ที่ 3.58% และ 24.36% ตามลำดับ โดยสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐาน (SET TRI) ซึ่งอยู่ที่ 3.49% และ 21.24% ตามลำดับ (ข้อมูล ณ 31 ม.ค. 60)

ทั้งนี้ ที่ผ่านมากองทุนใช้กลยุทธ์เน้นการคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ยังเป็นปัจจัยบวกในระยะกลางถึงยาว รวมทั้งหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบมากในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จึงทำให้กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้เป็นที่น่าพอใจ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ