นายสุรพงษ์ เตรียมชาญชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.นิปปอนแพ็ค (ประเทศไทย) (NPP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าในปี 60 ผลการดำเนินงานมีโอกาสที่จะกลับมามีกำไร และคาดว่าจะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่กว่า 200 ล้านบาทได้ โดยใช้ส่วนเกินมูลค่าหุ้นล้างขาดทุนสะสม ซึ่งบริษัทมีส่วนเกินมูลค่าหุ้น ณ สิ้นไตรมาส 3/59 อยู่ที่ 295 ล้านบาท และหากล้างขาดทุนสะสมได้แล้วก็มีโอกาสที่จะกลับมาจ่ายเงินปันผล หลังไม่ได้จ่ายปันผลมาเป็นระยะเวลา 3 ปี
บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีนี้เติบโต 50% จากปีก่อน หรือทำรายได้มาที่ 1.3-1.4 พันล้านบาท โดยจะมาจากรายได้จากธุรกิจอาหาร 700-800 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตที่ดีเป็นไปตามอุตสาหกรรมธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟูดส์ที่คาดว่าจะเติบโตได้ในระดับ 10%
ประกอบกับบริษัทได้มีการขยายสาขาของร้าน A&W เพิ่มขึ้นอีก 20 สาขาในปีนี้ จากปัจจุบันมี 33 สาขาแล้ว ร้าน Miyabi มีการขยายสาขาเพิ่มอีก 4 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 3 สาขา และขยายสาขาร้าน Mr.Jones's Orphanage อีก 2-3 สาขา จากปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 4 สาขา ซึ่งการขยายสาขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดเกมรุกธุรกิจอาหารบริการด่วน หรือ Quick Service Restaurants (QSR) ในปี 60 โดยใช้แบรนด์ A&W ร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังจากสหรัฐ ตามยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจเชิงรุก โดยวางแผนทุ่มงบลงทุนเบื้องต้น 150 ล้านบาท เร่งขยายสาขาร้าน A&W เพิ่มในปีนี้ และจะเดินหน้าปูพรมทั่วประเทศครบ 100 แห่งภายใน 5 ปี เพื่อขึ้นสู่อันดับ Top 3 ในตลาดอาหารกลุ่มเบอร์เกอร์และไก่ทอดที่มีมูลค่ามากกว่า 27,000 ล้านบาทในปีนี้
"เราจะทุ่มเม็ดเงินลงทุนเตรียมความพร้อมทั้งด้านการขยายสาขา และด้านทีมงานและบุคลากรในองค์กร เพื่อผลักดันสัดส่วนรายได้กลุ่มธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้นเป็น 50-60% จากรายได้รวมของเครือ NPP ซึ่งเป็นบริษัทแม่"นายสุรพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ NPP ได้สิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด A&W จาก A&W Restaurants Inc. USA แบบเอ็กซ์คลูซีฟในประเทศไทย รวมถึงสิทธิ์แฟรนไชส์ในประเทศ สปป.ลาวและพม่า
สำหรับกลยุทธ์สำคัญในปีนี้จะเผยโฉมร้าน A&W คอนเซ็ปต์ใหม่ “A&W 100% Delicious since 1919" เน้นจุดแข็งเรื่องเอกลักษณ์ของเมนูที่โดดเด่นและคุณภาพของวัตถุดิบแบบ 100% โดยนำเมนูสุดคลาสสิคอย่างไก่ทอด วาฟเฟิล และรูทเบียร์ มาเป็นตัวชูโรง พร้อมทั้งสร้างสรรค์เมนูใหม่ที่สื่อถึงคุณภาพที่เหนือกว่าและโปรโมชั่นเอาใจผู้บริโภค
พร้อมมัดใจกลุ่มเป้าหมายด้วยบรรยากาศสไตล์ Retro Loft ที่ดึงการตกแต่งร้านแบบสมัยใหม่ โปร่ง สบาย มาผสมผสานกับกลิ่นอายแบบเฮอริเทจ (Heritage) เพื่อสื่อบรรยากาศและเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานของ A&W โดยนำเฮอริเทจ รูทเบียร์ คอร์เนอร์ (Heritage Root Beer Corner) และเพลงแจ๊ส (Jazz) มาช่วยสร้างบรรยากาศแบบฟิลกู้ด (Feel Good) ในร้าน
ขณะที่นายบุรินทร์ วงศ์รัตนานุกูล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็นพีพี ฟู้ด อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงแผนขยายสาขาว่า “A&W สาขาใหม่ หลักๆ จะมี 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. A&W แบบสแตนด์ อะโลน (Stand-alone) ขนาด 80-150 ตร.ม.เน้นทำเลในคอมมูนิตี้ มอลล์ และสถานีน้ำมันต่างๆ และ 2. A&W แบบคีออสก์ (Kiosk) ขนาด 30-40 ตร.ม. เน้นพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน โดยสาขาใหม่จะเน้นรูปแบบตามคอนเซ็ปต์ “A&W 100% Delicious since 1919" รวมทั้งปรับโฉมสาขาเดิมตามคอนเซ็ปต์ใหม่ด้วย
ส่วนอีก 2 แบรนด์นั้น ล่าสุด “มิยาบิ" ร้านอาหารบุฟเฟต์ปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่มีจำนวน 5 สาขา จะมีการปรับรูปแบบร้านใหม่ ทั้งรูปโฉมร้าน เมนูอาหาร กลุ่มสินค้าและบริการที่มากขึ้นกว่าร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างทั่วไป โดยจะปรับเมนูเป็นทั้งแบบบุฟเฟต์และอลาคาส (A la carte) และการนำวัตถุดิบชั้นดีจะทั่วทุกมุมโลกมาเสิร์ฟ คู่กับซอสที่เป็นเอกลักษณ์ของมิยาบิ นอกจากนี้ ยังขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ เปิดตัว “มิยาบิ เบนโตะ" อาหารญี่ปุ่นกล่องแบบชิลด์ฟู้ด (Chilled Food) คุณภาพดีในรูปลักษณ์ข้าวกล่องสไตล์ญี่ปุ่นแท้ พร้อมผนึกพันธมิตร ซุปเปอร์มาร์เก็ต "SPAR" (สพาร์) ของ “บางจาก" และ “Gourmet Market" ของ “เดอะมอลล์"
ขณะที่ Mr. Jones' Orphanage ร้านเบเกอรี่และเครื่องดื่มสไตล์ใหม่ในบรรยากาศสวนสนุก ซึ่งบริษัทซื้อหุ้นของบริษัท มิสเตอร์โจนส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (MJO) ทั้งหมด 100% มูลค่ารวม 27 ล้านบาท มีจำนวนสาขาในประเทศไทย 4 แห่ง ได้แก่ สยามเซ็นเตอร์, เซ็นทรัลเวิลด์ เทอร์มินอล 21 และเมกะบางนา และวางแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มเติมในปี 2017 โดยจะยังคงชูจุดแข็งด้านไลฟ์สไตล์ และเมนูขนม และเครื่องดื่มที่ต่างจากร้านเบเกอรี่ของคู่แข่ง พร้อมปรับหน้าตาเมนูให้มีความสวยงามตรงใจกลุ่มลูกค้ามากขึ้น
ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิตบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคประเภทต่างๆ ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ซึ่งเป็นไปตามการเติบโตของลูกค้าที่ใช้บริการผลิตบรรจุภัณฑ์ อย่างเช่น เถ้าแก่น้อย วอลส์ และเอสแอนด์พี เป็นต้น โดยลูกค้าของบริษัทยังมีแนวโน้มการเติบที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์สินค้าของบริษัทยังคงมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหาร และธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์ในสัดส่วนเท่ากันที่ 50:50
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะเข้าซื้อหรือร่วมทุนกับแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มเติม ซึ่งแบรนด์ร้านอาหารจะเป็นแบรนด์ที่เน้นรูปแบบอาหารจานด่วน โดยเฉพาะประเภทก๋วยเตี๋ยว ส่วนแบรนด์ร้านเครื่องดื่มจะเน้นไปที่ร้านกาแฟในรูปแบบคาเฟ่และขนมหวาน คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ ซึ่งการได้แบรนด์ใหม่เข้ามาจะช่วยเข้ามาเสริมศักยภาพของธุรกิจอาหารให้เติบโตขึ้น
อีกทั้งอยู่ระหว่างการพูดคุยกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศเวียดนามเพื่อนำร้าน A&W ไปเปิดในประเทศเวียดนาม เพราะเวียดนามถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตมากในภูมิภาค CLMV โดยปัจจุบันร้าน A&W มีการเปิดสาขาในลาว เมียนมาร์ และกัมพูชา แล้ว
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงการเสนอขายหุ้น บริษํท เดย์ โพเอทส์ ให้กับ บมจ.โพลาริส แคปปิตัล (POLAR) นั้นปัจจุบันอยู่ระหว่างการดูแนวโน้มของธุรกิจว่าจะเป็นอย่างไร ประกอบกับดูการปรับโครงสร้างการบริหารหลังจากมีทีมงานลาออกไป ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาอีก 1 เดือน หรือภายในเดือน มี.ค.จะมีการตัดสินใจว่าจะขายหุ้น เดย์ โพเอทส์ ให้กับ POLAR หรือไม่