นางสาวศิริพร กล่าวอีกว่า เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยเม็ดเงินลงทุนสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในปี 2559 ปรับตัวเป็นบวกต่อเนื่องมาจนถึงต้นเดือนมกราคม 2560 และหากเปรียบเทียบราคาหุ้นภายในกลุ่ม TIP Market คือ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จะพบว่าราคาหุ้นไทยยังคงมีระดับราคาหุ้นต่อกำไร (P/E) ที่ต่ำกว่า โดยราคาหุ้นต่อกำไรในตลาดหุ้นไทยในปีนี้อยู่ที่ระดับ 15.3 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์อยู่ที่ระดับ 16.4 เท่า และ 17.3 เท่าตามลำดับ
ขณะที่คาดการณ์ว่าอัตราเงินปันผลของไทยยังคงสูงสุดในกลุ่ม TIP Market อีกทั้งกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจ และเมื่อประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจไทยและแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตและสามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้ ทำให้เล็งเห็นโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณากองทุนหุ้นของ บลจ.กรุงศรี จะพบว่ามีทั้งกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นปันผล เน้นหุ้นเติบโตสูง และเน้นหุ้นขนาดกลาง-เล็กแล้ว ดังนั้น จึงเสนอทางเลือกใหม่ให้ผู้ลงทุนด้วยกองทุน KFTSTAR-D ที่ใช้กลยุทธ์แบบ Blend Model เฟ้นหาหุ้นเด่นจากทุกกลุ่มได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านขนาดหรือประเภทหุ้น ลงทุนได้ทั้งหุ้นปันผล หุ้นเติบโตสูง หุ้นขนาดกลาง -เล็ก และใช้กลยุทธ์บริหารพอร์ตเชิงรุก มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับสัดส่วนให้เหมาะกับแต่ละภาวะตลาด
กองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำตลาด มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมทั้งมีระดับราคาที่ยังคงไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไร โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนรวมที่สูงกว่าตลาด เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีหุ้นประเภทใดที่สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นอันดับ 1 ได้ทุกช่วงเวลา
ทั้งนี้ บลจ.กรุงศรี ใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้ในการบริหารพอร์ตการลงทุนในส่วนของหุ้นไทยสำหรับกองทุน KFLTFAST-D ที่เปิดขายเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยกองทุน KFLTFAST-D สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดี (ข้อมูล:บลจ.กรุงศรี ณ 3 มี.ค. 60)
"หากพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2555-2559 จะพบว่าหุ้นแต่ละประเภทสามารถสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างกันในแต่ละปี เช่น ในปี 2555 หุ้นขนาดเล็กสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงสุดที่ 58.65% ต่อปี ขณะที่ปี 2556 หุ้นขนาดกลางสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงสุดที่ -1.98%ต่อปี และปี 2557 หุ้นขนาดเล็กสร้างผลตอบแทนได้สูงสุดที่ 26.24%ต่อปี เป็นต้น (ข้อมูล : Morningstar ณ 30 ธ.ค. 59) ดังนั้น การกระจายการลงทุนในหุ้นหลากหลายประเภทจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีจากทุกสภาวะตลาด"นางสาวศิริพร กล่าว
นางสาวศิริพร กล่าวอีกว่า กองทุน KFTSTAR-D เหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสรับผลตอบแทนรวมสูงกว่ากองทุนที่เน้นหุ้นปันผลอย่างกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV) เพราะสไตล์การลงทุนในหุ้นปันผลจะเน้นผลตอบแทนจากการรับปันผลที่สม่ำเสมอจากหุ้นที่ลงทุน มากกว่าการแสวงหาการเติบโตของมูลค่าหุ้น ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 6 -13 มีนาคม 2560 บริษัทจะยกเว้นค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนขาเข้าจากกองทุน KFSDIV กองทุน KFVALUE กองทุน KFSEQ และกองทุน KFSEQ-D มายังกองทุน KFTSTAR-D เพื่อส่งเสริมให้ผู้ลงทุนได้มีการกระจายการลงทุนที่กว้างและหลากหลายมากขึ้น
ทั้งนี้ กองทุน KFTSTAR-D มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงสูงระดับ 6 เสี่ยงสูง