SENA เตรียมเปิดโครงการร่วมทุน"ฮันคิวฯ"พัฒนาคอนโดฯย่านเตาปูน ช่วงปลายปีนี้,ตั้งเป้ารายได้-ยอดขายปีนี้เติบโต 20%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 8, 2017 09:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น คือ บริษัท ฮันคิว เรียลตี้ จำกัด ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ย่านเตาปูน มูลค่าโครงการกว่า 3-4 พันล้านบาท โดยจะพัฒนาเป็นอาคาร High Rise จำนวนห้องพักอาศัย 700-800 ยูนิต บนพื้นที่โครงการกว่า 3 ไร่ โดยใช้ชื่อโครงการ The Niche Pride เตาปูน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการและอยู่ระหว่างการประเมินราคาขายโครงการ

โครงการดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาภายใต้บริษัทร่วมทุน คือ บริษัท เสนา ฮันคิว 1 จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ซึ่งบริษัทถือหุ้น 51% และฮันคิวฯ ถือหุ้น 49% ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ามีโอกาสที่จะพัฒนาโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนดังกล่าวเพิ่มอีก 1 โครงการ ภายในปี 60 ซึ่งจะต้องมีการพิจารณากันอีกครั้ง

"การร่วมทุนกับฮันคิวฯในครั้งนี้เราใช้ระยะเวลาเกือบหนึ่งปีถึงจะได้ข้อสรุปในการร่วมลงทุนกัน ซึ่งที่เราเลือกฮันคิวฯก็เพราะ Philosophy การทำธุรกิจของเราและเขามีความคล้ายกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้การทำงานมันไปด้วยกันได้ และการพัฒนาโครงการของฮันคิวฯก็คล้ายคลึงกับของเสนา เพราะเป็นโครงการสามารถให้คนจับต้องได้แบบ Dream Come True ซึ่งยังเป็นกลยุทธ์หลักของเสนาในการพัฒนาโครงการ การที่ได้ฮันคิวฯเข้ามาเป็นพันธมิตรก็จะมาเสริมความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน เราก็ได้ Know-How จากเขาด้วย ซึ่งโครงการแรกที่เตรียมเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ คือ The Niche Pride เตาปูน มูลค่ากว่า 3-4 พันล้านบาท"นางเกษรา กล่าว

นางเกษรา กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 60 บริษัทตั้งเป้ารายได้ในเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 4.06 พันล้านบาท ซึ่งแนวโน้มรายได้ของบริษัทปีนี้คาดว่าจะเป็นการเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อจากปี 59 โดยในปี 60 จะทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ 3-4 พันล้านบาท

ขณะที่ตั้งเป้ายอดขายปีนี้เติบโต 20% จากปีก่อนที่ทำยอดขายได้กว่า 4 พันล้านบาท โดยวางแผนเปิด 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 9 โครงการ และโครงการแนวราบ 1 โครงการ ใน 10 ทำเล คือ สุขุมวิท 50, บางกะดี, ปากเกร็ดหรือแจ้งวัฒนะ, บางแค, สุขุมวิท 70 หรือ แบริ่ง, รามอินทรา กม.9, ลำลูกกา, คูคต, เตาปูน และสุขุมวิท 113 ที่เป็นเฟสต่อขยาย โดยในปีนี้โครงการเปิดใหม่จะเน้นโครงการคอนโดมิเนียม ติดรถไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ เพราะบริษัทมองว่ายังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าอยู่มาก โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ไม่ห่างจากรถไฟฟ้ามากนัก ในราคาระดับกลาง-ล่าง ที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีสัดส่วนมากในตลาด และเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท ซึ่งแนวโน้มของลูกค้ากลุ่มระดับกลาง-ล่างในอนาคตคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น หลังจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ผ่านพ้นไป และภาระหนี้รถคันแรก ซึ่งเป็นปัจจัยบั่นทอนให้ลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ได้รับผลกระทบในเรื่องการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นมาก และกำลังซื้อที่ลดลงนั้น น่าจะผ่านพ้นไปแล้ว

ทั้งนี้ หากภาระหนี้รถคันแรกที่เกิดขึ้นหากสิ้นสุดลงไป จะส่งผลดีต่อตลาดกลาง-ล่างมีการฟื้นตัวขึ้น ทั้งในแง่ของอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่ลดลงและกำลังซื้อที่กลับมา จึงทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสเน้นกลุ่มลูกค้าในระดับกลาง-ล่างค่อนข้างมากในปีนี้ โดยใน 10 โครงการเปิดใหม่ปีนี้เป็นโครงการระดับกลาง-ล่าง จำนวน 7 โครงการ และโครงการระดับกลาง-บน จำนวน 3 โครงการ

ส่วนในช่วง 2 เดือนของปีนี้ บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ The Niche Mono สุขุมวิท 50 และโครงการ The Kith Lite บางกะดี-ติวานนท์ โดยยอดขายในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/59 อย่างชัดเจน โดยส่วนหนึ่งคาดว่ามาจากภาวะตลาดที่เริ่มคลายความโศกเศร้าหลังผ่านพ้นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อความรู้สึกของคนไทยไปในช่วงเดือนต.ค.เป็นต้นมา ซึ่งทำให้ช่วงต้นปีมีการกลับมาซื้อที่อยู่อศัยมากขึ้นของคนที่ต้องการและเตรียมซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงปลายปีก่อน แต่ได้ชะลอการซื้อออกไป อีกทั้งเป็นช่วงที่มีการจ่ายเงินโบนัสทำให้มีการใช้จ่ายในช่วงต้นปีค่อนข้างมาก และส่งผลให้แนวโน้มอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาลดลงเล็กน้อย

ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้เพิ่มอีก 10 โครงการ จะทำให้บริษัทมีโครงการที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ทั้งหมด 22 โครงการ จากเดิมที่มี 12 โครงการ ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีนี้มีลูกบ้านที่ได้ใช้โซลาร์เซลล์เพิ่มเป็นกว่า 30,000 คน ซึ่งการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์นั้นบริษัทได้วิจัยและลงทุนพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง มีการใช้โดรนและตั้งบริษัทขึ้นมาตรวจสอบติดตามทุก 3 เดือน เพื่อบำรุงรักษาและทำความสะอาดหลังคาโซลาร์ให้กับลูกค้า ซึ่งมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับการบริการและดูแลหลังการขายจากทีมงานของบริษัทเป็นอย่างดี

นางเกษรา กล่าวอีกว่า ปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินรดับ 1 พันล้านบาท เพื่อซี้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต ขณะที่ธุรกิจโซลาร์ของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 4-5% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 37.3 ล้านบาท โดยจะมีการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ครบทั้ง 50 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทและบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท บี.กริม เสนา โซล่าร์ เพาเวอร์ จำกัด อย่างไรก็ตามบริษัทก็ยังคงเดินหน้าเข้าประมูลโครงการโซสาร์สหกรณ์ หากภาครัฐมีการเปิดประมูลโครงการใหม่ ๆ เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องการลงทุนโครงการโซลาร์เป็นเรื่องที่ต้องรอความชัดเจนจากภาครัฐในการผลักดันโครงการออกมา โดยสัดส่วนรายได้ของบริษัทยังมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากที่สุดในสัดส่วนกว่า 93% รายได้จากธุรกิจเช่าและบริการ 6% และธุรกิจโซลาร์ 1%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ