โบรกเกอร์ เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) มองผลการดำเนินงานปี 60/61 ฟื้นตัวขึ้นตามอุตสาหกรรมรถยนต์ หลังทั้งรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่แนวโน้มกำไรสุทธิจะพลิกกลับมาโตแรงและเร็วกว่ารายอื่น โดยแนวโน้มรายได้เติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม เพราะได้ลูกค้าใหม่เพิ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ PPV ทั้ง Toyota Fortuner, Mitsubishi Pajero Sport ที่มีความต้องการใช้สูง
แนวโน้มกำไรสุทธิ ไตรมาส 4 ของปี 59/60(ม.ค.-มี.ค.60) คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และจะกลับมาโตเมื่อเทียบรายไตรมาส โดยรวมคาดยอดขายของ STANLY จะยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดขายกลุ่ม PPV ที่ยังดีกว่ากลุ่มอื่น ขณะที่ช่วงไตรมาส 1 ปีนี้มีการ minor change ของรถยนต์หลายรุ่นที่ STANLY ได้ order ซึ่ง order มักสูงในช่วงแรก ด้าน GPM คาดว่าจะกลับมาโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนเช่นกัน เมื่อผ่านช่วงเริ่มต้นผลิตชิ้นงานโมเดลใหม่
ราคาหุ้น STANLY พักเที่ยงอยู่ที่ 210 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท (+1.45%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 0.15%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 232.00 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ทยอยซื้อ 230.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซื้อเมื่ออ่อนตัว 220.00นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้น STANLY ในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวลงไปมาก จากระดับ 280 บาท ลงมาต่ำสุด 170 บาท และปัจจุบันก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นมาแล้วมาอยู่บริเวณ 200 บาท จึงแนะนำให้"ซื้อเมื่ออ่อนตัว"
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของ STANLY ปีนี้คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวขึ้นตามอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่คาดว่ายอดผลิตรถยนต์ของไทยจะมีถึง 2 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดผลิตรถยนต์ 1.94 ล้านคัน
โดยคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิของ STANLY งวดปี 59/60 (เม.ย.59-มี.ค.60) จะมีกำไรสุทธิ 1,289 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 1,303 ล้านบาทในงวดปี 58/59 แต่ในงวดปี 60/61 (เม.ย.60-มี.ค.61) คาดว่าจะมีกำไรสุทธิเติบโตราว 8% มาที่ 1,400 ล้านบาท
ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น STANLY และจัดให้เป็น top pick ของกลุ่มฯ โดย จุดเด่นคือ ผ่านพ้นจุดต่ำสุดทั้งรายได้และ GPM ไปแล้ว โดยแนวโน้มกำไรสุทธิพลิกกลับมาโตแรงและเร็วกว่ารายอื่น ในขณะที่ระยะยาว STANLY เริ่มกลับมาพิจารณาการลงทุนขนาดใหญ่อีกครั้ง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดถึงแนวโน้มการได้ order เพิ่มต่อเนื่อง รวมถึงการขยายตลาดไปลูกค้ากลุ่มใหม่
แนวโน้มรายได้โตสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ เพราะได้ลูกค้าใหม่เพิ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม PPV ที่มีความต้องการเติบโตสูง ในขณะที่แนวโน้มของ GPM ที่เพิ่มขึ้นมากและจะกลับมาใกล้เคียงระดับปกติเร็วกว่ากลุ่มฯ ทำให้แนวโน้มกำไรสุทธิโดยรวมดีกว่ากลุ่ม
แนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4 ของปี 59/60 (ม.ค.-มี.ค.60)คาดโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับงวดปีก่อน และจะกลับมาเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยรวมคาดยอดขาย STANLY จะยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดขายกลุ่ม PPV (Toyota Fortuner, Mitsubishi Pajero Sport) ที่ยังดีกว่ากลุ่มอื่น ในขณะที่ช่วงไตรมาส 1 ของปีนี้ มีการ minor change รถยนต์หลายรุ่นที่ STANLY ได้ order ซึ่ง order มักสูงในช่วงแรก ในขณะที่คาด GPM จะกลับมาโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนเช่นกัน เมื่อผ่านช่วงเริ่มต้นผลิตชิ้นงานโมเดลใหม่
ส่วนบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะ"ทยอยซื้อ"หุ้น STANLY โดยมองแนวโน้มไตรมาสสุดท้ายของปี 59/60 ยอดขายจะเติบโตใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม เทียบกับปริมาณการผลิตรถยนต์ช่วงเดือนม.ค.-มี.ค.60 จากคาดการณ์ยอดผลิตรถยนต์ปีนี้ที่น่าจะฟื้น ตัวที่ 1.95-2.00 ล้านคัน ดีขึ้น 1-3% จากปีก่อน โดยมีปัจจัยบวกจากทิศทางราคาพืชผลทางการเกษตรที่ทยอยปรับตัวสูงขึ้น เช่น ราคายาง ปาล์มและอ้อย และภาครัฐมีการอนุมัติและเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคต่าง ๆ ตลอดจนความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายลง รวมทั้งโครงการรถคันแรกที่ครบกำหนดถือครอง 5 ปี อีกทั้งการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ โดยรวมน่าจะทำให้ผู้บริโภคหันมาจับจ่ายใช้สอยและมีความต้องการรถยนต์สูงขึ้น
ประกอบกับการที่ STANLY มีการควบคุมต้นทุนการผลิตอยู่ต่อเนื่อง เชื่อจะทำให้ปริมาณของเสียจากการผลิตชิ้นส่วนโมเดลใหม่ทยอยลดลง หนุนให้มาร์จิ้นกลับมาฟื้นตัวอยู่ในระดับสูงอีกครั้ง ทางฝ่ายคงประมาณการกำไรสุทธิปี 59/60 (เม.ย.59-มี.ค.60) ไว้ที่ 1,342 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ตามสมมติฐานยอดขายปี 60 ที่เติบโต 4% จากปีก่อน มาที่ 11,096 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มปี 60/61 เบื้องต้นคาดผลการดำเนินงานของ STANLY ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยยังคงมองกำไรสุทธิที่ 1,478 ล้านบาท ขยายตัว 10.1% จากปีก่อนหน้า จากสมมติฐานยอดขายที่น่าจะเติบโต 4.3% มาที่ 11,571 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวมาที่ 19.0% เทียบกับคาดการณ์ปี 59/60 ที่ 17.90%