BCPG คาด Q2/60 ดีต่อเนื่องจาก Q1/60 รับผลบวกค่าเอฟทีเพิ่ม-รับรู้ฯโซลาร์เต็มไตรมาส

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 4, 2017 11:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บีซีพีจี (BCPG) คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 จะดีขึ้นต่อไปอีก หลังจากไตรมาสแรกทำกำไรสุทธิแล้ว 454 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการปรับค่าขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) , การรับรู้รายได้จากการผลิตไฟฟ้าเต็มทั้งไตรมาสของกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย 130 เมกะวัตต์ (MW) และในประเทศญี่ปุ่น 30 เมกะวัตต์ ขณะที่สภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตไฟฟ้า และการลงนามในสัญญา Settlement Agreement กับบริษัทในกลุ่ม SunEdison ที่จะชำระค่าซื้อกิจการงวดสุดท้ายทำให้เกิดกำไรจากการเข้าซื้อกิจการเพิ่มขึ้น

ตลอดจนการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศฟิลิปปินส์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพประเทศอินโดนีเซียที่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากสถาบันการเงินชั้นนำ ซึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อนคณะกรรมการบริษัท ได้อนุมัติเข้าทำสัญญาซื้อหุ้นโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพดังกล่าว และจะนำเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติเพื่อเข้าทำรายการในวันที่ 13 มิถุนายน 2560

อนึ่ง ผลงานไตรมาส 1/60 บริษัทมีกำไรสุทธิ 454 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 612.52 ล้านบาท หลังปรับมาตรฐานบัญชี (Restatement) ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการ SunEdison ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือน ก.พ.59 ตามผลการประเมินของบริษัทผู้ประเมินราคาอิสระ แต่หากไม่นับรวมรายการดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีกำไรในงวดไตรมาส 1/60 เพิ่มขึ้น 16.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

"การประเมินราคาจากการเข้าซื้อกิจการ SunEdison เข้าเงื่อนไขตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินเรื่องการรวมธุรกิจ ซึ่งกำหนดให้บริษัทว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระทำการประเมินมูลค่ากิจการเพื่อสะท้อนราคาตามความเป็นจริง และจากการประเมินซึ่งเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 4/59 และรับรู้กำไรจากการต่อรองราคาไปแล้วนั้น ผู้ตรวจสอบบัญชีได้ปรับปรุงงบการเงินที่ได้จัดทำไว้เดิมเพื่อสะท้อนถึงข้อเท็จจริง ณ วันที่ซื้อกิจการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 59 จึงต้องมีการปรับปรุงรายการ ทำให้กำไรสุทธิของไตรมาสที่ 1/59 เพิ่มขึ้นจากเดิม 390.23 ล้านบาท เป็น 612.52 ล้านบาท"นายบัณฑิต กล่าว

นายบัณฑิต กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในไตรมาสแรก เป็นผลจากรายได้การขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 1.9% มาที่ 798 ล้านบาท จากการเปิดดำเนินการของโครงการโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ 3 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 12 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการนิคาโฮ และโครงการนากิ กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 19.3 เมกะวัตต์ ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาของกลุ่มบริษัท เพิ่มขึ้นเป็น 160 เมกะวัตต์ ในไตรมาสที่ 1/60 เมื่อเทียบกับ 128.7 เมกะวัตต์ในไตรมาสที่ 1/59 หรือคิดเป็นกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 24.3%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ