(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับลงไร้ปัจจัยหนุน,คาดหวังโอเปกยืดเวลาลดผลิตน้ำมันสะท้อนราคาแล้ว

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 25, 2017 09:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับลดลง ไร้ปัจจัยบวกหนุนเพิ่ม ขณะที่ความคาดหวังกลุ่มโอเปกจะขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีกนั้น ได้สะท้อนในราคาน้ำมันไปแล้ว ด้านทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐก็คงจะมีแนวโน้มปรับขึ้น หลังจากเมื่อวานนี้การเปิดเผยรายงานประชุมประจำเดือนพ.ค.ของเฟด ได้ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวต่อเนื่อง ประกอบกับเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นหลายประเทศในขณะนี้ยังสร้าง Sentiment เชิงลบต่อตลาดด้วย พร้อมมองแนวรับที่บริเวณ 1,550 จุด และแนวต้านที่ 1,570 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับลดลง เพราะปัจจัยแวดล้อมส่วนใหญ่ไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาเพิ่มเติม อีกทั้งความคาดหวังว่าที่ประชุมของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนอกโอเปกในวันนี้จะขยายระยะเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีกนั้นก็ได้สะท้อนในราคาน้ำมันไปแล้ว ทำให้การปรับขึ้นของราคาน้ำมันอยู่ในอัตราที่ช้าลง ท่ามกลางภาวะที่ตลาดยังกังวลว่าสหรัฐฯจะนำน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) ออกมาขายนั้น จะเป็นการสกัดกั้นการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน

นอกจากนี้ แนวโน้มสหรัฐฯคงจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังเมื่อวานนี้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC)ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ค. ซึ่งกรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ หากเศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ เหตุการณ์ก่อการร้ายที่กระจายอยู่ในประเทศต่าง ๆ ขณะนี้ ยังทำให้ตลาดตีความในเชิงลบต่อสถานการณ์ดังกล่าวด้วย

พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,550 จุด และแนวต้านที่ 1,570 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (24 พ.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,012.42 จุด เพิ่มขึ้น 74.51 จุด (+0.36%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,163.02 จุด เพิ่มขึ้น 24.31 จุด (+0.40%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,404.39 จุด เพิ่มขึ้น 5.97 จุด (+0.25%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 5.77 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 8.74 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 82.96 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 15.49 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 8.15 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.06 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.29 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 7.99 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 พ.ค.60) 1,566.15 จุด เพิ่มขึ้น 1.46 จุด (+0.09%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 104.18 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 พ.ค.60
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 พ.ค.60) ปิดที่ 51.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 11 เซนต์ หรือ 0.2%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 พ.ค.60) ที่ 5.95 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 34.29 เหตุดอลลาร์อ่อนค่า หลัง FOMC ส่งสัญญานขึ้นดอกเบี้ยตามตลาดคาด
  • รมว.คมนาคม เผยผลการหารือรถไฟไทย-จีน ครั้งที่ 18 เมื่อวานนี้ ได้ข้อสรุปถึงแนวทางเดินหน้าโครงการแล้ว เหลือเพียงรายละเอียดด้านเทคนิคที่ต้องหารือต่อไป โดยฝ่ายจีนอยากให้เร่งรัดเสนอโครงการต่อรัฐบาล คาดว่ากระทรวงคมนาคมจะเสนอโครงการรถไฟไทย-จีน ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายในเดือน มิ.ย.นี้
  • กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.5% โดยคณะกรรมการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจนขึ้น ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่ต้องติดตามความเสี่ยงในบางจุด อาทิ ความสามารถชำระหนี้ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ไม่ใช่ปัจจัยเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
  • ธปท.ชี้กรณีที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ปรับลดเครดิตเงินหยวนของจีนว่า ในส่วนของผลกระทบต่อประเทศไทยนั้น ในประมาณการเดิม ธปท.ได้คำนึงถึงปัจจัยนี้ไว้แล้ว โดยปี 2560 ได้ประมาณการเศรษฐกิจจีนขยายตัว 6.5% และในปี 2561 ขยายตัวลดลงเหลือ 6.2% คือมีการคำนึงถึงความเสี่ยงนี้ไว้แล้ว คิดว่าไม่ต้องปรับอะไรเพิ่มเติม เพราะ ธปท.มองไปในทิศทางเดียวกัน โดยปัจจัยที่พิจารณาคือความล่าช้าการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และการจัดการปัญหาหนี้ของจีน
  • เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เปิดเผยว่า หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ใช้อำนาจตาม ม.44 ปลดล็อกกฎหมายเกี่ยวกับขั้นตอนการลงทุนจะทำให้มีภาคเอกชนตัดสินใจเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซีประมาณ 30 ราย ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจะอยู่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561
*หุ้นเด่นวันนี้
  • DTAC (ทรีนีตี้) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 50 บาท มองนำคลื่นความถี่ของ TOT มาใช้งานได้ 60% ของความจุคิดเป็น Bandwidth ประมาณ 35 MHz ช่วยลดความกังวลเรื่องขาดแคลนคลื่น ทำให้หลังจากหมดสัญญาสัมปทานในปีหน้าบริษัทจะยังคงมี Bandwidth ให้บริการได้ถึง 50 MHz ใกล้เคียงคู่แข่งอย่าง ADVANC และ TRUE ที่มีคลื่นอยู่ 55 MHz ดังนั้น น่าจะเห็นประสิทธิภาพบริการเพิ่มขึ้น และช่วยลดแรงกดดันแข่งขันประมูลคลื่นปีหน้า ทำให้ราคาแข่งขันปีหน้าไม่น่ารุนแรงเท่ากับครั้งที่ผ่านมา

สำหรับราคาต้นทุน 4,510 ล้านบาทนั้น จะส่งผลกดดันต่อผลประกอบการในปี 61 เนื่องจากสัญญาสัมปทานนั้นจะหมดอายุลง ก.ย.61 ดังนั้นบริษัทยังคงมีภาระของต้นทุนสัมปทานในช่วง 9 เดือนแรกปี 61 แต่หลังจากหมดสัมปทานแล้วบริษัทจะลดภาระค่าตัดจำหน่ายปีละ 10,000 ล้านบาท และส่วนแบ่งรายได้ที่จะลดลงอีกกว่า 7,000 ล้านบาท คาดผลงานจะ Turnaround ในปี 62

  • LIT (ไอร่า) ให้ราคาเป้าหมาย 15.30 บาท คาดกำไรสุทธิปี 60 ที่ 144 ล้านบาท โต 43% จากโครงการลงทุนภาครัฐกระตุ้นความต้องการสินเชื่อ การเข้มงวดของธนาคารโดยเฉพาะ SME ลูกค้าเป้าหมายของ LIT รวมถึงการประมูลงานภาครัฐที่เปลี่ยนจาก E-Auction เป็น E-Bidding ช่วย SME มีโอกาสได้งานรัฐมากขึ้น การปรับ Product MIX หันไปเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อกลางน้ำ เช่น Project Finance ให้ Yield เฉลี่ย 16-18% ต่อปี สูงกว่าสินเชื่อต้นน้ำ เช่น Factoring ให้ Yield เฉลี่ยเพียง 10-14% และ ต้นทุนการเงิน (CoF) ลดลงหลังออก LIT-W1 ช่วยลดแรงกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้น
  • STA (ธนชาต) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 25 บาท คาดกำไรจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 288 ล้านบาทในปี 60 จากที่มีผลขาดทุน 758 ล้านบาทในปี 59 ปัจจัยผลักดันสำคัญคือปริมาณขายโต 3% และราคาขายเพิ่มขึ้น 14% (ราคา SICOM เฉลี่ยอยู่ที่ US$1,380 ในปี 59 และ US$1,900 ในช่วง YTD) คาดกำไรจะเติบโตก้าวกระโดดมาที่ 1.4 พันล้านบาทในปี 61 จากปริมาณขายโต 16% จากการขยายกำลังผลิต ราคาขายเพิ่มขึ้น 9% และกำไร 600 ล้านบาทจากถือหุ้นธุรกิจถุงมือยางมากขึ้น (90% จาก 40%)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ