KTBST มอง SET สัปดาห์นี้ขาดปัจจัยหนุน-เงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงต่ำดันบาทแข็ง ระวังแรงขายทำกำไรช่วงสั้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 29, 2017 11:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) ประเมินทิศทางมองตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ แรงซื้อของตลาดจากราคาลงไปมาก (Technical rebound) คาดว่าจะลดลง ความเสี่ยงในต่างประเทศทั้งการเมืองสหรัฐฯ เลือกตั้งอังกฤษยังมีอยู่ จึงอาจจะเห็นแรงขายทำกำไรช่วงสั้นเข้ามาในตลาด โดยเฉพาะถ้าดัชนียังไม่สามารถผ่าน 1,573 จุด ขึ้นไปได้ ตัวแปรที่มีผลต่อตลาด คือ Fund Flow และค่าเงินบาท ซึ่งหากแข็งกว่านี้ จะเป็นปัจจัยลบ

ภาพรวมของการลงทุนสัปดาห์นี้ มองว่าตลาดขาดปัจจัยหนุนที่ชัดเจน ความผันผวนของค่าเงิน สะท้อนว่าปัจจัยในต่างประเทศนั้นยังอ่อนไหวต่อตัวแปรที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเป็นบวกต่อสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะพันธบัตร-ทองคำ หรือหุ้นที่มีความเป็น defensive เช่น โรงไฟฟ้า ขณะที่หุ้นที่เล่นรับกับการ rebound ของตลาดน่าลดการถือลง ส่วนสัปดาห์ถัดไปนักลงทุนจะเริ่มประเมินผลประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) และเลือกตั้งอังกฤษ ตลาดน่าจะผันผวนมากขึ้น

"กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้แนะนำถือเงินสด 30% รอซื้อหุ้นหากเกิดการปรับฐาน หุ้นขนาดใหญ่ที่รายได้และกำไรยังดูดีอยู่ หรือกลุ่มที่กำไรสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ ประเมินกรอบดัชนีฯสัปดาห์นี้ 1,553-1,590 จุด สำหรับหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ BCH , IRPC , WICE, GPSC , BLA , KSL, PSH , VIH , SCN"

ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อตลาด ได้แก่ เงินบาทแข็งที่สุดในรอบสองปี จากปัจจัยภายในสหรัฐฯที่ไม่มีความคืบหน้าด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองขณะที่ของไทย การไหลเข้าของเงินลงทุนในตลาดพันธบัตรและคาดว่ามาจากการคาดการณ์ว่าดอลล่าร์จะอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก ผลที่คาดจะเกิดขึ้นต่อตลาด คือ กระทบต่อผลประกอบการของผู้ส่งออกแต่เป็นบวกต่อสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) บวกต่อผู้กู้ แต่ความกังวลต่อการเข้าแทรกแซงจาก ธปท. คาดจะยังไม่เกิดขึ้น

โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังสูง ความน่าจะเป็นอยู่ที่ 95% (Bloomberg) แต่ที่ตลาดน่าจะให้ความสนใจ คือ เมื่อใดเฟดจะปรับลดขนาดสินทรัพย์ $4.43 ล้านล้านเหรียญ ที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ QE ปลายปีก่อน หามีกำหนดการที่แน่นอน จะมีผลต่อ กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) เพราะเงินจะดูดออกจากระบบและดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ลงมาต่ากว่า $50 เหรียญชั่วคราว โดยตลาดอาจคาดหวังมากเกินไปว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะคงกำลังการผลิตไว้อย่างน้อย 12 เดือน (ประกาศจริงคือ 9 เดือน) จึงเกิดแรงขายสัญญาน้ำมัน การใช้แท่นผลิตน้ำมันของสหรัฐฯสูงขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 19 ติดต่อกัน คาดแรงขายน่าจะลดลง แต่จะทำให้ราคาน้ำมันขยับขึ้นมาแตะ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลอีกครั้ง ด้วยปัจจัยบวกจากความพยายามในการลดกาลังการผลิตของโอเปคและดอลลาร์อ่อนค่า

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงที่ต้องจับตาดูการเร่งใช้จ่าย-ลงทุน-อนุมัติ-ประมูล ของภาครัฐฯ เนื่องจากเป็นแรงขับสำคัญของเศรษฐกิจปีนี้ เพราะมีการชะลอลงมาตั้งแต่ต้นปี และยังต้องตามสถานการณ์ฝนที่ตกต่อเนื่องและภาวะน้ำท่วมด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ