นายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเซ็นสัญญาข้อตกลงในการร่วมมือกันเป็นระยะเวลา 5 ปี (ปี 60-64) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ในโครงการของแสนสิริทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุด
นอกจากนี้บริษัทยังมองถึงการต่อยอดการพัฒนาโครงการของแสนสิริในการให้บริการด้านสุขภาพกับลูกบ้านตั้งแต่วัยเด็ก-วัยชรา เช่น การนำคอนเซ็ปต์ของศูนย์ดูแลสุขภาพ (Wellness Centre) และโครงการบ้านเพื่อสูงอายุมาประยุกต์ใช้ในโครงการ ซึ่งอาจจะมีการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ (Medical Centre) ภายในโครงการของแสนสิริ เพื่อเป็นการยกระดับตคุณภาพชีวิตของลูกค้าให้ดีขึ้น
“การร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวชภายในระยะเวลา 5 ปี เรามองไปถึงการพัฒนาต่อยอดโครงการ โดยจะมี Medical Centre หรือ Wellness Centre อยู่ในโครงการ ซึ่งก็มองไปถึงการพัฒนาโครงการสำหรับผู้สูงอายุ แต่ไม่ใช่เฉพาะผู้สูงอายุเพียงอย่างเดียว เราก็ยังเน้นการให้บริการและยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้าตั้งแต่วัยเด็ก-วัยชรา"นายอุทัย กล่าว
นายอุทัย กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของบริษัทที่จะก้าวไปอีกขั้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่มอายุผู้มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและแตกต่างกันได้ดียิ่งขึ้น ทำให้บริษัทได้ทุ่มงบจำนวน 50 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวแคมเปญ “Fill Your Life with Good" ต่อยอดกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่เน้นการเติบเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการพัฒนาโครงการ 6 ฟังก์ชั่นที่อยู่อาศัย ที่จะตอบโจทย์ของไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว
ส่วนแนวโน้มภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่ามีโอกาสปรับตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ยังชะลอตัวอยู่บ้าง โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นเศราฐกิจและกำลังซื้อให้กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคการส่งออกมายังมองว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ แต่อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามสถานการณ์ในช่วงเดือนต.ค.ที่จะถึงว่าภาพรวมจะเป็นอย่างไรด้วย
ขณะที่สัญญาณโอเวอร์ซัพพลายของตลาดคอนโดมิเนียม มองว่ามีบางพื้นที่เท่านั้นที่ยังมีสต็อกเหลือขายค่อนข้างมาก เช่น บริเวณตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงตอนปลาย แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบของภาพรวมตลาด เพราะจำนวนคอนโดมิเนียมคงค้างจากปี 59 ถึงต้นปี 60 มีจำนวนเพียง 50,000 ยูนิต และส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับล่าง-กลาง อีกทั้งยอดขายคอนโดมิเนียมแต่ละปีอยู่ที่ 70,000 ยูนิต และหากไม่มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ในปีนี้ จำนวนคอนโดมิเนียมคงค้างจะใช้ระยะเวลาในการดูดซับ 9-10 เดือน
ส่วนการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม ดีคอนโด พิงค์ เชียงใหม่ ไปเมื่อช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ 24-25 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวจีนและฮ่องกงในการจองซื้อไปราว 100 ยูนิต จากจำนวนยูนิตทั้งหมด 400 ยูนิต ซึ่งในสัปดาห์นี้บริษัทจะนำโครงการดังกล่าวไปโรดโชว์ขายที่ประเทศสิงคโปร์ และในสัปดาห์ต่อไปจะนำไปโรดโชว์ขายที่ประเทศจีน