โบรกฯเชียร์"ซื้อ"TPIPP รับ COD 3 โรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 290 MW หนุนผลงานปี 60-61 ก้าวกระโดด

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 3, 2017 14:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ต่างเห็นพ้องแนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ. ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) มองปี 60-61 ปลประกอบการจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/60 เข้ามาอีก 290 เมกะวัตต์จากโรงไฟฟ้า 3 แห่ง โดย 2 แห่งที่เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงขยะ (RDF) และ โรงไฟฟ้าถ่านหิน คาดจะผ่านการพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมรอบสองใน 1-2 สัปดาห์นี้ หรือเดือน ก.ค.นี้

ดังนั้น ในสิ้นปี 60 กำลังผลิตไฟฟ้ารวมจะเพิ่มเป็น 440 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 150 เมกะวัตต์ ทำให้เห็นการเติบโตทั้งรายได้และกำไร ปีนี้คาดรายได้ 7,100 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มี 4,300 ล้านบาท และปี 61 น่าจะขยับเพิ่มเป็น 13,000 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิปีนี้คาดไว้ที่ 3,096 ล้านบาท เติบโต 70% จาก 1,800 ล้านบาทในปีก่อน และในปี 61 จะเพิ่มเป็น 6,049 ล้านบาท หรือเติบโต 45%

รวมทั้ง TPIPP มีโอกาสได้รับงานโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิง RDF เพิ่มเติม เพราะ TPIPP มีศักยภาพด้านการผลิตไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิง RDF รายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย จากนโยบายสนับสนุนของภาครัฐที่จะให้เพิ่มพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น และมีโอกาสมีรายได้เพิ่มขึ้นหากมีการปรับขึ้นค่า Ft

ราคาหุ้น TPIPP ปิดภาคเช้าวันนี้ อยู่ที่ 7.15 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ SET บวก 3.25 จุด

          โบรกเกอร์              คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          ซีไอเอ็มบีฯ              ซื้อ                    9.00
          เมย์แบงก์กิมเอ็งฯ         ซื้อ                    8.50
          ทิสโก้                  ซื้อ                    8.10
          ทรีนิตี้                  ซื้อเก็งกำไร             7.30

นางสาวอภิญญา เลิศขจรกิตติ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ กล่าวถึงประเด็นการลงทุน TPIPP อยู่ที่แนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ในไตรมาส 4/60 คาดจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้จากโรงไฟฟ้า 3 แห่งที่มีกำลังการผลิตรวม 290 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้า 150 เมกะวัตต์ ก็จะทำให้ TPIPP มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 440 เมกะวัตต์ โดยมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ขนาด 70 เมกะวัตต์ (อยู่ระหว่างยื่น EIA), โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน 150 เมกะวัตต์ (อยู่ระหว่างยื่น EHIA) และ โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน ขนาด 70 เมกะวัตต์ (ผ่าน EIA แล้ว)

บริษัทอยู่ระหว่างทำ EIA และ EHIA รอบที่สองโรงไฟฟ้าขยะและโรงไฟฟ้าถ่านหินที่คาดว่าจะรู้ผลในเดือน ก.ค.นี้ ถ้าผ่านก็จะทำให้ sentiment การลงทุนดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ในปีนี้คาดว่ารายได้และกำไรคงไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมาก เพราะเริ่มผลิตในไตรมาส 4/60 แต่คาดว่าในปี 61 รายได้และกำไรเติบโตสูงถึง 110%

นอกจากนี้ จากที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน ขณะที่ TPIPP เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิง RDF รายใหญ่ของประเทศที่มีต้นทุนต่ำ ทำให้มีโอกาสสูงที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก

อีกทั้ง ค่า Ft มีแนวโน้มปรับขึ้น โดยจะปรับทุกๆ 4 เดือน คาดว่าในเดือน ก.ย.นี้จะมีการปรับขึ้นค่า Ft ขณะที่มีต้นทุนเชื้อเพลิง RDF ต่ำ ทั้งนี้หากปรับขึ้นค่า Ft 0.50 บาท/หน่วย จะส่งผลดีต่อ TPIPP และจะปรับราคาเป้าหมายไปที่ 7.90 บาท จากปัจจุบันให้ราคาเป้าหมาย 7.30 บาท แนะนำเพียง"เก็งกำไร"เพราะราคามี upside ไม่มาก

นายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) แนะนำ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท เนื่องจากคาดการณ์กำไรสุทธิในไตรมาส 2/60 จะทำนิวไฮที่ 709 ล้านบาท เติบโต 42% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะจ่ายปันผลกำไรในไตรมาส 2/60 ประมาณ 0.08-0.1 บาท

รวมทั้งโอกาสที่โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ (RDF) ขนาด 70 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขนาด 150 เมกะวัตต์จะผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ฯ ที่จะประชุมพิจารณาใน 1-2 สัปดาห์นี้ของเดือน ก.ค.นี้ หลังการพิจารณาครั้งแรกมีสัญญาณเชิงบวก คาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/60 รวมทั้งยังมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน 70 เมกะวัตต์อีกแห่งที่จะ COD ในไตรมาส 4/60 เช่นกัน รวมแล้วในไตรมาส 4 นี้จะมีกำลังการผลิตใหม่ 290 เมกะวัตต์ เมื่อรวมกับกำลังการผลิตไฟฟ้าปัจจุบันมีจำนวน 150 เมกะวัตต์ จะทำให้ TPIPP มีกำลังการผลิตรวม 440 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ รายได้ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 7,100 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้ 4,300 ล้านบาท และปี 61 เพิ่มขึ้นเป็น 13,000 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 3,096 ล้านบาท เติบโต 70% จากปีก่อนที่มีกำไร 1,800 ล้านบาท และในปี 61 จะเพิ่มเป็น 6,049 ล้านบาท หรือเติบโต 45% จากปีก่อนหน้า

บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุว่า TPIPP มีพอร์ตสินทรัพย์ที่เป็นเอกลักษณ์และมีคุณภาพสูงด้วยโรงไฟฟ้าใช้พลังงานเชื้อเพลิงขยะและความร้อนทิ้ง น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้กำไรเติบโต ขณะเดียวกัน โครงสร้างเงินทุนดีขึ้นและมูลค่ากิจการเพิ่มขึ้นหลัง IPO และลดหนี้ รวมทั้งคาดว่า ROE และศักยภาพการทำกำไรจะสูงขึ้นในปี 60-62 จากการขยายกำลังการผลิต มาร์จินที่สูงขึ้นและโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ