บลจ.ธนชาต คาดสิ้นปี AUM โตอีก 20% ชูนโยบายหุ้นเสี่ยงต่ำเป็นหลัก

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 10, 2017 12:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายว่ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ในปี 60 เติบโตราว 20% จากสิ้นปี 59 ที่มี AUM รวมทุกธุรกิจอยู่ที่ 1.89 แสนล้านบาท และปัจจุบันผ่านมา 7 เดือน AUM เพิ่มขึ้นมาเป็น 2.19 แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งเป็นการเติบโตจากธุรกิจกองทุนรวม (Mutual Fund) เป็นหลัก โดยในปีนี้กองทุนหุ้นไทยของบริษัทเติบโตราว 44% ทำให้คาดว่าในสิ้นปี 60 เฉพาะธุรกิจกองทุนรวมน่าจะแตะ 2 แสนล้านบาทได้

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันบริษัทออกกองทุนใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 32 กองทุน แบ่งเป็นกองทุนหุ้นปันผล 2 กองทุน และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 1 กองทุน ที่เหลือเป็นกองทุนเทอมฟันด์

นายบุญชัย กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทได้เปิดขาย IPO กองทุนหุ้นปันผล (T-DIV) ในช่วงต้นเดือน มี.ค.แต่เนื่องจากได้รับความนิยมมากทำให้ไม่สามารถขยายขนาดกองทุนได้ในช่วง IPO ดังกล่าว จึงได้เปิดขายกองทุนเปิดธนชาตหุ้นปันผล 2 (T-DIV2) เพื่อมารองรับความต้องการดังกล่าว ประกอบกับ เชื่อว่าหุ้นไทยจะยังไปต่อได้และหุ้นปันผลก็เป็นหุ้นที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับรายได้ที่สม่ำเสมอ โดยตั้งแต่ตั้งกองทุนจนปัจจุบันประมาณเกือบ 6 เดือน สามารถจ่ายเงินปันผลคืนให้กับผู้ลงทุนไปแล้ว 0.2 บาทต่อหน่วย เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา

“บลจ.ธนชาต เน้นออกกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ที่ผันผวนต่ำกว่าหุ้นทั่วไป ทั้งในแง่หุ้นผันผวนต่ำอย่าง Low Beta หรือหุ้นปันผลที่สามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอเพราะปัจจุบันตลาดยังอยู่ในสถานการณ์ดอกเบี้ยต่ำทั่วโลก แม้จะมีข่าวการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากเฟดอยู่ก็ตาม แต่ผู้ที่คุ้นเคยกับการฝากเงินหรือลงทุนแต่ในกองทุนตราสารหนี้เริ่มพบว่าผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่การจะขยับให้ผู้ลงทุนกลุ่มนี้ไปลงทุนในหุ้นเลยคงไม่ง่ายนัก เพราะผู้ลงทุนมักไม่สามารถทนรับความผันผวนระหว่างทางได้ แม้จะมีสถิติยืนยันว่าหากลงทุนหุ้นในระยะยาวมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินก็ตาม"นายบุญชัย กล่าว

ในช่วงที่เหลือของปี บริษัทฯ มีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความมั่นคง เหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยนอกจากผู้ลงทุนจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้แล้วกองทุนนี้ยังมีประกันสุขภาพมอบให้ผู้ลงทุนด้วย เพราะบริษัทเชื่อว่าการที่ผู้ลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายสุขภาพหรือไม่ต้องนำเงินที่ต้องการลงทุนระยะยาวมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลระหว่างทางนั้น จะยิ่งทำให้เงินลงทุนมีโอกาสงอกเงยมากขึ้นและมากกว่า นอกจากนั้นก็คงเน้นขายกองทุนลดหย่อนภาษี LTF /RMF ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามเทศกาลปกติ

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายในการพัฒนาผู้แนะนำการลงทุนผ่านสาขาธนาคารธนชาต ที่จะมุ่งมั่นพัฒนาอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง โดยเน้นฝึกอบรมให้พนักงานมีความเข้าใจ และมีความรู้เรื่องกองทุน เพื่อให้สามารถแนะนำผู้ลงทุนได้อย่างมีคุณภาพ โดยผู้แนะนำต้องไม่ทำหน้าที่แค่ขายกองทุน แต่ต้องรู้จักวางแผนการเงินและจัดพอร์ตให้เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงของผู้ลงทุนได้

ด้านมุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลัง นายโชติช่วง ธีรขจรโชติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์มหภาค บลจ.ธนชาต กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะในภูมิภาคหลักๆ ซึ่งเป็นการขยายตัวแบบเป็นไปพร้อมๆ กัน โดยคาดว่าระยะถัดไปอาจมีชะลอตัวลงบ้าง เพราะหากเทียบกับฐานปัจจุบันที่อยู่ในอัตราที่สูงมาก แต่ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีหน้า

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังคงมีการเติบโต ตัวเลขการส่งออก ตัวเลขนักการท่องเที่ยว ยังคงขยายตัวได้ ประกอบปัจจัยการเมืองในปีหน้า ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะขยายตัวได้ใกล้กับปีนี้ คือ ใกล้ๆ ระดับ 3.5%

“กลยุทธ์การลงทุน บริษัทฯ ก็ยังแนะให้นักลงทุนกระจายพอร์ตลงทุน โดยมีเงินลงทุนบางส่วนในหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) และตลาดยุโรป ที่คาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้น่าสนใจ ส่วนตลาดอเมริกา หากนักลงทุนมีในพอร์ตก็ยังสามารถถือต่อได้ แต่สำหรับตลาดญี่ปุ่นอาจต้องรอจังหวะให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงกว่านี้ ซึ่งหากต้องการผลตอบแทนที่มากขึ้นก็ควรเน้นลงทุนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม (sector) หรือเลือกเป็นรายตัวโดยเฉพาะกลุ่มหุ้นสุขภาพ (Healthcare) ซึ่งสถานการณ์ก็สดใสขึ้นหลังจากข้อเสนอยกเลิกนโยบายโอบามาแคร์ตกไป"

ปัจจัยเสี่ยงที่น่าจะต้องจับตาในครึ่งหลังของปี คือ อัตราเงินเฟ้อในอเมริกาและไทย เพราะ หากเงินเฟ้อในอเมริกาเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้การขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงและเร็วกว่าที่คาด ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ปรับสูงขึ้นซึ่งจะกระทบกับผู้ลงทุน ส่วนไทยเอง ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำมาก ทำให้ค่าเงินบาทค่อนข้างมีแนวโน้มแข็งค่าอยู่ ส่งผลให้มีกระแสเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน แต่หากอัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นกว่านี้มาก ก็จะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดเงินทุนไหลออก"

สำหรับกองทุนที่แนะนำให้มีติดพอร์ต ยังแนะนำสินทรัพย์ประเภทหุ้นมากกว่า และควรมีหุ้นต่างประเทศในพอร์ต สำหรับสินทรัพย์ในไทย ยังแนะนำสินทรัพย์ที่ให้รายได้สม่ำเสมอ และผันผวนต่ำ เช่น หุ้นปันผล หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน เพราะดอกเบี้ยไทยปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำ แต่อัตราผลตอบแทนอสังหาฯ นั้นสูงพอสมควรเฉลี่ยประมาณ 5%กว่า


แท็ก กองทุนรวม  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ