ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ ANAN วงเงินไม่เกิน 2 พันลบ. ที่ระดับ “BBB/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 11, 2017 11:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) ที่ระดับ “BBB" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (Hybrid Debentures) ของบริษัทที่ระดับ “BB+" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ที่ระดับ “BBB" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนตุลาคม 2560 รวมทั้งใช้ในการดำเนินธุรกิจ

อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของบริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดคอนโดมิเนียม ตลอดจนผลงานที่ได้รับการยอมรับในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ฐานรายได้ที่ใหญ่ขึ้น และความคาดหมายว่าส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าจะเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทเน้นการพัฒนาในตลาดคอนโดมิเนียมและการมีภาระหนี้สูงจากการขยายธุรกิจเชิงรุก นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความกังวลในระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศที่สูง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย

ANAN ก่อตั้งในปี 2542 โดยตระกูลเรืองกฤตยาและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2555 ณ เดือนสิงหาคม 2560 นายชานนท์ เรืองกฤตยาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 50.1% ของหุ้นทั้งหมด บริษัทประกอบธุรกิจพัฒนาและขายโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ

ณ เดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยระหว่างพัฒนา 42 โครงการ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 30 โครงการ (รวมโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งพัฒนาภายใต้การร่วมทุน 17 โครงการ) และบ้านจัดสรร 12 โครงการ โดยยูนิตเหลือขาย (ที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) มีมูลค่ารวมทั้งหมด 42,000 ล้านบาท (รวมยูนิตเหลือขายซึ่งพัฒนาภายใต้การร่วมทุนมูลค่า 30,000 ล้านบาท) การพัฒนาโครงการในลักษณะของกิจการร่วมทุนนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการขยายธุรกิจแล้ว ยังเป็นการลดความเสี่ยงทางธุรกิจและการเงินของบริษัทลงส่วนหนึ่งด้วย

รายได้ของบริษัทในช่วงปี 2557-2559 อยู่ที่ประมาณ 10,000-12,000 ล้านบาทต่อปี รายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 เติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 5,773 ล้านบาท รายได้จากการขายที่อยู่อาศัยเท่ากับประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2557-2559 และลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 4,238 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 รายได้จากการบริหารโครงการและค่านายหน้าจากโครงการร่วมทุนมีสัดส่วน 10% ในปี 2559 และ 17% ในครึ่งแรกของปี 2560 ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 12,000-14,000 ล้านบาทต่อปี

อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (วัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทลดลงเหลือ 14% ในปี 2559 และ 16% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 จาก 19% ในช่วงปี 2557-2558 ซึ่งเป็นผลมาจากอัตรากำไรที่ต่ำของโครงการบ้านจัดสรร ทั้งนี้ คาดว่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ที่ประมาณ 15% เอาไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็คาดว่าอัตราส่วนกำไรสุทธิจะดีขึ้นหลังจากที่บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรมากขึ้นจากเงินลงทุนในกิจการร่วมทุน

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ที่ 60%-62% ในช่วงปี 2558 ถึง 6 เดือนแรกของปี 2560 ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทในอีก 3 ปีข้างหน้าจะยังคงอยู่ในระดับสูงจากแผนการขยายธุรกิจทั้งในโครงการของบริษัทเองและโครงการร่วมทุน อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนไม่ควรสูงเกินกว่า 66% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนควรอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เท่าเพื่อคงอันดับเครดิตไว้ ณ ระดับปัจจุบัน

บริษัทมีสภาพคล่องในระดับที่ยอมรับได้ ภาระหนี้ที่ครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารจำนวน 452 ล้านบาท เงินกู้สำหรับโครงการจำนวน 1,071 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 2,997 ล้านบาท โดยบริษัทจะมีวงเงินรองรับจากแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ เงินสดในมือจำนวน 1,842 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อซึ่งยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 2,700 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2560 รวมถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1,500-2,000 ล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานเอาไว้ได้ตามเป้าหมาย ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 12,000-14,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 1,500-2,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วให้ไม่เกินกว่า 66% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ระดับต่ำกว่า 2 เท่าเอาไว้ได้ ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมควรอยู่ในระดับ 10%-13%

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและ/หรือฐานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วที่สูงเกินกว่า 66% ในช่วงระยะเวลาหนึ่งก็อาจนำไปสู่การปรับลดอันดับเครดิตได้ ทั้งนี้ อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายไปยังธุรกิจอื่น หรือสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ