ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ CENTEL ที่ “A" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 12, 2017 13:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) ที่ระดับ “A"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงการมีแหล่งกระแสเงินสดที่กระจายตัวทั้งจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร รวมถึงสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจอาหารบริการด่วน และการมีโรงแรมคุณภาพดีซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่หลากหลาย ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการสนับสนุนจากกลุ่มเซ็นทรัลด้วย

อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและถูกกระทบได้ง่ายจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งธุรกิจอาหารบริการด่วนที่มีอัตรากำไรต่ำ ทั้งนี้ ธุรกิจทั้ง 2 ประเภทจัดว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงเมื่อพิจารณาจากอุปสงค์ของจำนวนห้องพักในโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการทำการตลาดเชิงรุกในหมู่ผู้ประกอบการอาหารบริการด่วน

CENTEL เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารในประเทศไทย บริษัทก่อตั้งโดยครอบครัวตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 โดยปัจจุบันตระกูลจิราธิวัฒน์ถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 64%

ในปี 2559 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 46% ของรายได้รวม รวมทั้งมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากโรงแรมคิดเป็นสัดส่วน 68% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560

บริษัทบริหารโรงแรม 37 แห่ง รวมจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 7,080 ห้อง โดยโรงแรมทั้งหมดตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของไทยและในต่างประเทศ 4 ประเทศ ได้แก่ มัลดีฟส์ เวียดนาม ศรีลังกา และโอมาน บริษัทบริหารงานโรงแรมภายใต้แบรนด์ “เซ็นทารา แกรนด์" “เซ็นทารา" และ “เซ็นทรา" และมีโรงแรมของตนเองทั้งสิ้น 15 แห่ง โดย 1 แห่งอยู่ภายใต้กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ โรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของโดยตรงคิดเป็นสัดส่วน 54% ของจำนวนห้องทั้งหมด

บริษัทดำเนินธุรกิจอาหารบริการด่วนภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด ปัจจุบัน ให้บริการอาหารบริการด่วนจำนวน 11 แบรนด์ ซึ่งประกอบด้วยร้านอาหารภายใต้แฟรนไชส์และเครือข่ายจากต่างประเทศจำนวน 10 แบรนด์และแบรนด์ของบริษัทเองอีกจำนวน 1 แบรนด์ คือ “เดอะ เทอเรส" โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 บริษัทมีจำนวนสาขาร้านอาหารรวมทั้งสิ้น 824 แห่งทั่วประเทศ

เนื่องจากการมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพสูง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยจึงฟื้นตัวจากเหตุการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2559 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 0.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญและเป็นห้วงเวลาแห่งการถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฯ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เพิ่มขึ้น 4.4% เป็น 17.32 ล้านคนเมื่อเทียบกับปีก่อน ทริสเรทติ้งคาดว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะอยู่ในระดับดีและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเติบโตในระดับปานกลาง

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งส่งผลให้อัตราการเข้าพักโรงแรมของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 81.9% ในปี 2559 เมื่อเทียบกับระดับ 80.2% ในปี 2558 ทำให้รายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของบริษัทเพิ่มขึ้น 3% สู่ระดับ 3,975 บาทต่อคืนในปี 2559 แม้ว่าอัตราการเข้าพักโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์และในกรุงเทพฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 จะปรับลดลง แต่รายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของบริษัทก็ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.5% สู่ระดับ 4,233 บาทต่อคืนเนื่องจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากโรงแรมในต่างจังหวัด

ในปี 2559 รายได้ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น 3% เป็น 19,563 ล้านบาทจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจอาหารที่ระดับ 4% และ ธุรกิจโรงแรมที่ระดับ 2% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 รายได้ของบริษัทลดลงเล็กน้อย 1% เป็น 9,926 ล้านบาทเนื่องจากรายได้จากกิจกรรมด้านการประชุมลดลงรวมถึงรายได้ที่ลดลงจากโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์และในกรุงเทพฯ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 25% ในปี 2559 จนถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้คงที่ในปี 2560 แต่จะปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 5% ต่อปีในปี 2561 และปี 2562 โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 23%-25% ในช่วงปี 2560-2562

เงินกู้รวมของบริษัทปรับลดลงจาก 8,699 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2558 เป็น 7,135 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2560 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 54.6% ณ เดือนธันวาคม 2558 สู่ระดับ 47.6% ณ เดือนมิถุนายน 2560 ในช่วง 3 ปีข้างหน้าบริษัทมีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ 12,500 ล้านบาทเพื่อก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่และขยายจำนวนร้านอาหาร ดังนั้น จึงคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นแต่น่าจะอยู่ในระดับไม่เกิน 55%

สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง โดยเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาทในปี 2558 และปี 2559 และอยู่ที่ระดับ 2,091 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 34.1% ในปี 2558 เป็น 36.9% ในปี 2559 และที่ระดับ 39.1% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากระดับ 7.4 เท่าในปี 2558 เป็น 10.3 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2560

ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าบริษัทมีภาระในการชำระหนี้ประมาณ 214 ล้านบาทและมีภาระหนี้ระยะสั้นจำนวน 209 ล้านบาท สภาพคล่องของบริษัทมีเพียงพอสำหรับภาระหนี้ดังกล่าวโดยบริษัทมีเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 1,277 ล้านบาท รวมทั้งวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกประมาณ 2,200 ล้านบาท

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจหลักของบริษัทได้ต่อไป ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มจำนวนและความหลากหลายให้แก่ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารได้โดยที่ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่น่าพอใจเอาไว้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนตัวลงเป็นเวลานาน หรือบริษัทมีการลงทุนที่มีการก่อหนี้จำนวนมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ