MAJOR มั่นใจปีนี้รายได้โตเข้าเป้า 10% คาด Q4/60 โตโดดเด่นรับหนังฟอร์มยักษ์-ปรับขึ้นค่าโฆษณา

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 5, 2017 17:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 9.58 พันล้านบาท เป็นผลมาจากการที่มีหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดส์ที่ทำรายได้สูงเข้าฉายเป็นจำนวนมากในช่วงครึ่งปีแรก ผลักดันรายได้จากการขายตั๋วปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีรายได้โฆษณาในโรงภาพยนตร์มาจากลูกค้ารายใหม่ช่วยชดเชยรายได้จากลูกค้าหลักบางรายที่ลดงบโฆษณาลง

ขณะเดียวกัน บริษัทมองแนวโน้มภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/60 จะโดดเด่นมากขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่เดือน พ.ย.เป็นต้นไป เพราะมีหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดส์ที่คาดว่าจะทำรายได้ได้สูงจ่อคิวฉาย 3 เรื่อง คือ Thor : Ragnarok, Justice League และ Star Wars : The Last Jedi รวมถึงยังมีหนังไทยที่คาดว่าจะสร้างรายได้ได้ดีรอฉายอีกในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้

รวมทั้งการทำกิจกรรมทางการตลาดของผู้ประกอบการที่เป็นพันธมิตรกับโรงภาพยนตร์ไนเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ที่จะช่วยดึงดูดให้มีผู้ชมเข้ามามากขึ้นในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ส่งผลต่อความคึกคักของธุรกิจโรงภาพยนตร์ในช่วงปลายปีนี้

นายนิธิ พัฒนภักดี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจสื่อโฆษณา MAJOR กล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยหนุนของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/60 จะมาจากการปรับอัตราค่าโฆษณาในโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้นอีก 10-15% ตั้งแต่เดือน พ.ย.เป็นต้นไป ซึ่งได้มีการขายโฆษณาล่วงหน้าไปแล้ว ซึ่งในช่วงการฉายหนังฮอลลีวู้ดส์ฟอร์มยักษ์ 3 เรื่องดังกล่าวมีอัตราโฆษณาแล้ว 70-80% ทำให้เห็นสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวของการใช้งบโฆษณาในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่ารายได้จากโฆษณาของบริษัทไตรมาส 4/60 จะเติบโตได้ 5-10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากไตรมาส 3/60 ที่ทรงตัว

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มมีการซื้อโฆษณาในโรงภาพยนตร์มากขึ้น คือ กลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และแบรนด์ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือต่างๆ ซึ่งช่วยชดเชยกลุ่มลูกค้าหลัก คือ กลุ่มรถยนต์ค่ายโตโยต้าที่ช่วงต้นปีประกาศลบงบโฆษณาลง 20-30% ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้โฆษณาของบริษัท โดยกลุ่มลูกค้าปัจจุบัน ได้แก่ กลุ่มรถยนต์ กลุ่มอาหารและเครื่อดื่ม กลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ และมองว่าในปี 61 กลุ่มธนาคารพาณิชย์จะมีการซื้อโฆษณาในโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้น จากการส่งเสริมการใช้ระบบชำระเงินผ่าน QR Code

ส่วนในเดือน ต.ค.นี้ บริษัทจะงดฉายโฆษณาในโรงภาพยนตร์ระหว่างวันที่ 23-26 ต.ค.60 ซึ่งเป็นช่วงสัปดาห์พระราชพิธีถวายพระเพลิง เพื่อเป็นการแสดงความไว้อาลัย และเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมรายได้มากนักเพราะเป็นช่วงระยะเวลาที่สั้น และบริษัทได้คิดอัตราการค่าโฆษณาตามแพ็คเกจอย่างเหมาะสมขายให้กับลูกค้าไว้แล้ว

นายวิชา กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าปี 63 บริษัทจะมีจำนวนโรงภาพยนตร์ทั้งในไทยและต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 1,000 โรง จากปัจจุบันมีจำนวนโรงภาพยนตร์ทั่งหมด 700 โรง ซึ่งจะเป็นโรงภาพยนตร์ในไทย 900 โรง เน้นกลยุทธ์การขยายไปในระดับอำเภอต่างๆ ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึง และอำนวยความสะดวกในแง่ของการเดินทาง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการฉายหนังรอบดึกได้เพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้จะขยายโรงภาพยนตร์ในเครืออีก 30 โรง

ขณะที่การขยายโรงภาพยนตร์ไนต่างประเทศ จะเน้นในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาวและกัมพูชา เพราะทั้ง 2 ประเทศมีการใช้บริการของลูกค้าที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก ซึ่งในปี 61 บริษัทจะมีการเพิ่มจำนวนโรงภาพยนตร์ในกัมพูชาอีก 8 โรง ในกรุงพนมเปญและเสียมราฐ และเพิ่มจำนวนโรงภาพยนตร์ไนลาวอีก 6-8 โรง และรางแผนขยายไปในประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆตามการขยายศูนย์การค้าต่างๆในประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้บริษัทจะพัฒนาประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์ไนโรงภาพยนตร์ด้วยการนำเทคโนโลยีไหม่ๆเข้ามา ซึ่งในปี 61 บริษัทจะนำระบบฉายด้วย SAMSUNG Cinema LED Screen เข้ามาให้บริการในโรงภาพยนตร์ที่ 6 พารากอนซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน ในเดือนม.ค.61 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่จะเข้ามาทดแทนการขายในรูปแบบ Digital Projector ที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งใช้เงินในการลงทุนระบบฉายใหม่สูงถึง 40-50 เท่าของเงินลงทุนระบบเดิมที่ราคาลงทุนต่อเครื่องอยู่ที่ 1 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่สองของโลก และที่แรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้ให้บริการการฉายภาพยนตร์ ด้วย SAMSUNG Cinema LED Screen จากปัจจุบันที่ระบบดังกล่าวฉายในกรุงโซล เกาหลีใต้ จำนวน 2 โรง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ