ราคาหุ้น MINT ปิดตลาดไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 43.25 บาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 0.16%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 51.00 บัวหลวง ซื้อ 46.00 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 46.00 ทรีนีตี้ ซื้อเมื่ออ่อนตัว 44.15 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 48.00 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 52.50นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า คงคำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น MINT เนื่องจากมองว่าช่วงไตรมาส 3/60 กำไรปกติจะอยู่ที่ 1,192 ล้านบาท เติบโตได้แข็งแกร่ง 61.8% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า และ 20.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยจะเป็นการเติบโตจากธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก โดยเฉพาะโรงแรมในประเทศไทย ที่เติบโตอย่างโดดเด่นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของโปรตุเกส ส่งผลดีต่อโรงแรม Tivoli ในโปรตุเกสด้วย โดยธุรกิจโรงแรมที่เติบโตช่วยชดเชยธุรกิจอาหารที่ถูกกระทบจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้าและทำให้อัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) มีโอกาสที่จะติดลบราว 1%
ทั้งนี้ ทิศทางผลประกอบการอีก 2 ไตรมาส ข้างหน้ายังจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยซึ่งมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและกระจายตัวของนักท่องเที่ยวที่ดี ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารคาดว่ามีโอกาสเห็นยอดขายสาขาเดิมพลิกกลับมาเป็นบวกได้ โดยคาดว่าในปี 60-61 กำไรปกติจะทำจุดสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง ที่ 5,649 ล้านบาท เติบโต 23.4% และ 6,500 ล้านบาท เติบโต 15.1% และยังมี Upside จากการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของ MINT ในการเติบโต
บทวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ปรับคำแนะนำสำหรับหุ้น MINT จาก"เก็งกำไรซื้อ"เป็น"ซื้อ"ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 52.50 บาท จากคาดกำไรปกติในไตรมาส 3/60 ที่ระดับ 1,040 ล้านบาท เติบโต 16% จากงวดปีก่อน และเติบโต 42% จากไตรมาสก่อน หนุนโดยผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรม Tivoli โดดเด่น ในช่วงไฮซีซั่นของโปรตุเกส
นอกจากนี้แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/60 ยังจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของปี จากกลุ่มธุรกิจในประเทศทั้งโรงแรมและอาหาร ที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และสัญญาณฟื้นตัวของภาคการบริโภค แม้จะปรับลดประมาณการปี 60-61 แต่กำไรปกติปี 61 คาดว่าจะขยายตัวโดดเด่น 18% จากปีนี้ และเป็นอัตราที่สูงสุดในกลุ่มโรงแรม สวนทางกับราคาหุ้นที่ Laggard
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การฟื้นตัวของ MINT จะเร่งตัวขึ้นนับตั้งแต่ไตรมาส 3/60 เป็นต้นไปจากปัจจัยบวกที่รออยู่ข้างหน้า ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมในเครือ Tivoli จะเริ่มให้บริการได้หลังจากการปรับปรุงแล้วเสร็จทันช่วงไฮซีซั่น ในโปรตุเกสในไตรมาส 3/60 และอีก 3 แห่งที่เหลือจะเสร็จในครึ่งแรกปี 61 ซึ่งจะทำให้ RevPar ปรับขึ้นได้ต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 61
ธุรกิจอาหารโดยเฉพาะฮับไทยที่ SSSG ติดลบในช่วงไตรมาส 2/60 นั้นส่วนหนึ่งมีผลมาจากฐานที่สูงในไตรมาส 2/59ซึ่งมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐเข้าช่วย แต่คาดว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ระดับปกติและกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส 3/60 ก่อนที่การบริโภคในประเทศจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในไตรมาส 4/60 ซึ่งจะสะท้อนแนวโน้มผลดำเนินงานที่จะดีขึ้นชัดเจนเทียบรายไตรมาสนับจากนี้ ทำให้คาดว่ากำไรปกติปี 60 ขยายตัว 21% จากปีก่อน
นอกจากนี้การที่นักลงทุนจะใช้สิทธิแปลงสภาพ MINT-W5 รอบสุดท้ายในเดือนพ.ย. นี้ จำนวน 187 ล้านสิทธิ ที่ราคาใช้สิทธิ 36.36 บาท อัตราส่วน 1 : 1.1 จะทำให้ MINT ได้เงินสด 7,700 ล้านบาท โดยคาดว่าเงินดังกล่าวจะนำไปชำระหนี้ที่ใกล้ครบกำหนดในปีนี้ราว 7,400 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงจากปัจจุบันราว 1.3 เท่า เหลือเพียง 0.7 เท่า ในระยะสั้นจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายลง 300 ล้านบาท/ปี และยังเป็นการเปิดโอกาสสำหรับเข้าซื้อกิจการใหม่เพิ่มเติมในอนาคต
ขณะที่ Dilution effect ที่เกิดขึ้น 5% ตามจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น 205 ล้านหุ้น จะถูกชดเชยด้วยการเติบโตของกำไรปกติในปี 61 ตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวทั้งในและต่างประเทศ
ด้านบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้น MINT ที่ Laggard เมื่อเทียบกับกลุ่มโรงแรมด้วยกัน ซึ่งเห็นว่าจะเป็นโอกาสในการลงทุน เพราะนอกจากธุรกิจโรงแรมในไทยที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว คาดว่าปี 61 จะเป็นปีเริ่มต้นของการเก็บเกี่ยวการไปลงทุนหนักในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และการปรับปรุงโรงแรมต่าง ๆ ในปี 60
ขณะที่โรงแรมในต่างประเทศจะเติบโตดีขึ้นมาก สินทรัพย์หลักที่เข้าไปลงทุนต่างประเทศ คือ โรงแรม Tivoli ในบราซิล และโปรตุเกส และเป็นรายได้หลักจากต่างประเทศของ MINT ขณะที่ RevPar มีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก หลังมีการเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าจากที่เน้นยุโรปมาเป็นโปรตุเกสที่มีเสถียรภาพมากกว่า การปรับปรุงตกแต่งโรงแรมให้สวยงามและมีการ re-branding จึงคาดว่าโรงแรมที่โปรตุเกสจะให้ผลกำไรที่ดีมากใน 1-2 ปีข้างหน้านี้