"โกลเบล็ก"มองหุ้นไทยปลายปีได้เม็ดเงิน LTF-RMF หนุน ให้กรอบดัชนี 1,680-1,725 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 29, 2017 11:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับสูงจากที่คาดว่าการหารือในวันที่ 30 พ.ย.จะได้ข้อสรุปในการขยายการปรับลดกำลังการผลิต นักวิเคราะห์คาดจะส่งผลให้ตลาดเผชิญภาวะขาดแคลนน้ำมันราว 830,000 บาร์เรล/วันในปีหน้า เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะขาดแคลน 310,000 บาร์เรล/วัน

รวมถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรเดินหน้าพิจารณาแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในภาคใต้ ครอบคลุมระบบราง ถนน ท่าเรือ และสนามบิน รวมทั้งหมด 14 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนราว 5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นแผนการลงทุนระยะ 5 ปี (62-66) และมีเม็ดเงินลงทุนในกองทุน LTF และ RMF หนุนดัชนีในช่วงปลายปี

ส่วนปัจจัยที่มีผลลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะนี้มาจากกระแสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ว่าที่ประธานเฟดคนใหม่คาดว่าเฟดจะเดินหน้าคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป และ Fund Flow ยังคงผันผวน ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติ Net Sell ราว 2.1 หมื่นล้านบาท และคาดจะผันผวนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนหน้าที่จะมีวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ วันที่ 29 พ.ย.สหรัฐจะเปิดเผยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 3/60 ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) จากเฟด (เช้าวันที่ 30 พ.ย.) และในวันที่ 30 พ.ย.วุฒิสภาสหรัฐมีกำหนดโหวดร่างกฏหมายปฏิรูปภาษี และกำหนดประชุมกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกเกี่ยวกับการขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมัน ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีกำหนดรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับสูง การเดินหน้าเปิดประมูลโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ต่อเนื่อง และเม็ดเงินเข้าซื้อกองทุน LTF และ RMF โดยมีปัจจัยกดดันจาก Fund Flow ที่ยังผันผวนในช่วงเดือนที่ผ่านมา คาดการณ์เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งสุดท้ายในเดือนธันวาคม

ดังนั้น ประเมินว่า SET ในสัปดาห์นี้จะแกว่งตัวผันผวนในกรอบ 1,680 -1,725 จุด ทั้งนี้ แนะนำซื้อเก็งกำไร SUPER, SSP, PSTC, BGRIM, BPP และ KSL หุ้นโรงไฟฟ้าที่ผ่านคุณสมบัติ SPP Hybrid ซึ่งจะประกาศผลในวันที่ 14 ธ.ค. และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดประมูลโครงการลงทุนสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ ราคาทองคำยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยรูปแบบ round bottom ซึ่งการตั้งฐานใหม่ที่ระดับ 1,295-1,305 ดอลลาร์ ค่อนข้างมีความสำคัญต่อการปรับขึ้นในระยะถัดไป โดยคาดหวังให้เป็นรูป cup & handle เพื่อให้ระดับราคายืนเหนือ 1,300 ดอลลาร์ ได้อย่างเด็ดขาดซึ่งจะทำให้ทิศทางกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางการเมืองของสหรัฐฯหลายอย่างเป็นได้ทั้งการเกื้อหนุนและกดดันต่อราคาทองคำ ซึ่งฝ่ายวิจัยมีมุมมองว่า ถ้าหากร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีมีแนวโน้มจะได้รับการยอมรับทั้งจากสภาสูงและสภาล่าง และสามารถออกบังคับใช้ได้เร็ว กระแสกดดันต่าง ๆ ที่มีต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะคลี่คลายลงและจะเป็นผลลบต่อราคาทองคำไม่ให้กลับตัวเป็นขาขึ้นได้ แต่ถ้าเกิดกรณีที่ร่างกฎหมายดังกล่าวมีปัญหายืดเยื้อจะช่วยให้ราคาทองคำเริ่มต้นทิศทางขาขึ้นรอบใหม่ได้

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้ปรับคำแนะนำเป็น trading long สั้น ๆ และควรปิดทำกำไรเร็วขึ้น แต่ถ้าราคาปรับตัวลงต่ำกว่า 1,290 ดอลลาร์หรือ เงินบาทแข็งค่าต่ำกว่า 32.60 บาทต่อดอลลาร์ ควร stop loss หรือลดพอร์ตระยะสั้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ