ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ และแนวโน้ม TTW ที่ “AA-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 4, 2017 13:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ. ทีทีดับบลิว (TTW) ที่ระดับ “AA-" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการเป็นผู้ให้บริการน้ำประปาเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนจากสัญญาขายน้ำขั้นต่ำระยะยาว และความสม่ำเสมอของอุปสงค์น้ำประปา อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการที่บริษัทมีภาระหนี้จำนวนมากและความเสี่ยงจากการมีการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) เป็นลูกค้าหลักเพียงรายเดียว

นับตั้งแต่การก่อตั้งในปี 2543 บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ เป็นผู้ถือหุ้นหลักของบริษัททีทีดับบลิว ทั้งนี้ ณ เดือนสิงหาคม 2560 กลุ่ม ช. การช่างมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทรวม 38.85% โดยถือหุ้นผ่าน บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน 19.45% และบริษัท ช. การช่าง ในสัดส่วน 19.40% นอกจากนี้ บริษัท มิตซุย วอเตอร์ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ยังถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 25.98% อีกด้วย

บริษัททีทีดับบลิวเป็นผู้ให้บริการน้ำประปาเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยกำลังการผลิตทั้งสิ้น 1,076,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน ปัจจุบันบริษัทดำเนินงานโรงผลิตน้ำประปา 4 โรงซึ่งให้บริการน้ำประปาในพื้นที่ 3 เขต คือเขตพื้นที่จังหวัดนครปฐม-สมุทรสาคร เขตพื้นที่จังหวัดปทุมธานี และเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และยังให้บริการบำบัดน้ำเสียซึ่งมีกำลังการบำบัด 18,000 ลบ.ม. ต่อวันในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นอกจากนี้ บริษัทยังถือหุ้นในสัดส่วน 25.31% ใน บริษัท ซี. เค. พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ด้วย โดยบริษัท ซี. เค. พาวเวอร์ เป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม ช. การช่าง ปัจจุบันโรงไฟฟ้าหลักของบริษัท ซี. เค. พาวเวอร์ ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลายแห่งในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว)

ฐานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทมีปัจจัยจากรายได้ที่มั่นคงจากการมีโครงสร้างสัญญาซื้อขายน้ำที่ดีกับ กปภ. และการมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำจากอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจในระดับสูง บริษัทจำหน่ายน้ำประปาให้แก่ กปภ. ภายใต้สัญญาซื้อขายน้ำประปา 2 ฉบับ โดยฉบับแรกมีอายุสัญญา 25 ปีซึ่งจะหมดสัญญาในปี 2566 และฉบับที่ 2 มีอายุสัญญา 30 ปีซึ่งจะหมดสัญญาในปี 2577 กปภ. มีพันธะในการรับซื้อน้ำประปาจากบริษัทในปริมาณขั้นต่ำจำนวน 712,000 ลบ.ม. ต่อวัน ทั้งนี้ สูตรการคำนวณอัตราค่าน้ำจะเป็นไปตามดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index -- CPI) นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับสิทธิในการดำเนินการผลิต จำหน่าย และให้บริการน้ำประปา รวมทั้งให้บริการบำบัดน้ำเสียในเขตนิคมอุตสาหกรรมบางปะอินระยะเวลา 30 ปีอีกด้วย โดยสิทธิดังกล่าวจะหมดอายุในปี 2582 บริษัทมีรายได้หลักจากเขตพื้นที่จังหวัดนครปฐม-สมุทรสาครและเขตพื้นที่จังหวัดปทุมธานี โดยมีสัดส่วนคิดเป็น 64% และ 31% ของรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ตามลำดับ

ความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำของบริษัทเกิดจากลักษณะของอุปสรรคในการเข้าสู่ธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง กล่าวคือ บริษัทเป็นเจ้าของท่อน้ำประธานและท่อจ่ายน้ำในพื้นที่ให้บริการบางส่วนซึ่งเป็นอุปสรรคต่อผู้ต้องการเข้ามาเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ในพื้นที่ดังกล่าวเนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนที่สูงในการสร้างโครงข่ายระบบส่งและจ่ายน้ำประปาและต้องได้รับสิทธิในการใช้ทางสำหรับการก่อสร้างโครงข่ายการส่งน้ำ อีกทั้งแหล่งน้ำดิบก็เป็นข้อจำกัดอีกประการหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ที่จะเข้าสู่ธุรกิจด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดี โอกาสการขยายธุรกิจในพื้นที่บริการใหม่ ๆ ของบริษัทก็มีข้อจำกัดเนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของ กปภ. ในการให้สัมปทาน

บริษัทมีความเสี่ยงจากการมี กปภ. เป็นลูกค้ารายใหญ่เพียงรายเดียว โดยในระยะ 10 ปีที่ผ่านมารายได้ของบริษัทมาจาก กปภ. กว่า 95% อย่างไรก็ตาม สถานะความน่าเชื่อถือของ กปภ. ก็อยู่ในระดับที่รับได้เนื่องจากมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ นอกจากจะเป็นลูกค้าหลักแล้ว กปภ. ยังเป็นคู่แข่งของบริษัทด้วย ทั้งนี้ หาก กปภ. สร้างโรงกรองน้ำประปาแห่งใหม่และจ่ายน้ำในพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ที่บริษัทให้บริการก็จะส่งผลกระทบทำให้ยอดจำหน่ายน้ำของบริษัทลดลง อย่างไรก็ดี การที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายน้ำประปาขั้นต่ำกับ กปภ. ก็ทำให้มั่นใจได้ว่าบริษัทจะมีรายได้จากการจำหน่ายน้ำประปาไม่ต่ำกว่าที่ระบุไว้ในสัญญา

ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากการมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและเชื่อถือได้อีกทั้งยังมีอุปสงค์น้ำที่สม่ำเสมอในพื้นที่บริการของบริษัทด้วย ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 4,157 ล้านบาท จากผลของปริมาณน้ำจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นในทุกพื้นที่บริการ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดนครปฐม-สมุทรสาครซึ่งภาคอุตสาหกรรมมีการฟื้นตัว ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายอยู่ที่ 80.9% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 2%-3% ในระหว่างปี 2560-2563 จากผลของการเติบโตที่ต่อเนื่องของภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดนครปฐม-สมุทรสาคร รวมถึงการเริ่มดำเนินการของโรงไฟฟ้าบางปะอินโคเจเนอเรชันโครงการที่ 2 ที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของชุมชน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะดำรงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องโดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 78%

บริษัทมีภาระหนี้ในระดับสูงแต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 52.51% ณ เดือนกันยายน 2560 และคาดว่าจะปรับดีขึ้นจากการชำระหนี้ที่ครบกำหนด อีกทั้งบริษัทยังไม่มีแผนลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ด้วย คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะลดลงอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 28.77% ณ เดือนกันยายน 2560 (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีโดยใช้ข้อมูล 12 เดือนย้อนหลัง) และมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 11.79 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560

ในระยะ 12-24 เดือน ข้างหน้าคาดว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องอยู่ในระดับดีโดยพิจารณาจากความต้องการใช้และแหล่งที่มาของเงินทุน บริษัทมีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 2,130 ล้านบาทในปี 2561 และจำนวน 2,430 ล้านบาทในปี 2562 รวมทั้งยังมีแผนลงทุนรวมอีกประมาณ 400-500 ล้านบาทในช่วงเวลาดังกล่าวโดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในโครงการผลิตน้ำประปาที่ประเทศพม่า นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลประมาณ 2,400-2,600 ล้านบาทต่อปี แหล่งเงินทุนของบริษัทจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานอย่างน้อย 3,500 ล้านบาทต่อปีรวมทั้งเงินสดและเทียบเท่าเงินสด ณ เดือนกันยายน 2560 อีกจำนวน 3,481 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังถือหุ้น 25.31% ในบริษัท ซี. เค. พาวเวอร์ ซึ่งมีมูลค่า 7,575 ล้านบาท ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2560 ที่จะช่วยเสริมความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งและคงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเอาไว้ได้ อันดับเครดิตของบริษัทมีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงในระยะปานกลางเนื่องจากการดำเนินงานที่คงตัวและโอกาสที่จำกัดในการขยายธุรกิจ ทั้งนี้ คุณภาพเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบในเชิงลบหากบริษัทมีการลงทุนโดยการก่อหนี้เพิ่มจนส่งผลกระทบในด้านลบต่อโครงสร้างเงินทุนและฐานะทางการเงินของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ