ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม ESSO ที่ “A+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 26, 2017 17:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO ที่ระดับ “A+" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างบริษัทกับกลุ่มเอ็กซอน โมบิล (ExxonMobil Group) รวมถึงการมีโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานผลิตอะโรเมติกส์ที่มีประสิทธิภาพและครบวงจร และสถานะที่แข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับสูงและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน

บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) เป็นบริษัทในเครือเอ็กซอนโมบิล คอร์ปอเรชั่น (ExxonMobil) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจกลั่นน้ำมันและผลิตเคมีภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทมีประวัติในการดำเนินงานที่ยาวนานในธุรกิจปิโตรเลียมในประเทศไทย โดยบริษัทและบริษัทย่อยในกลุ่มเริ่มดำเนินธุรกิจน้ำมันในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2437 และเริ่มธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในปี 2514 ณ เดือนมีนาคม 2560 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทประกอบด้วย ExxonMobil Asia Holding Pte. Ltd. ในสัดส่วน 66% และกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ในสัดส่วน 7%

บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งโดยดำเนินงานในธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจกลั่นและจัดจำหน่ายน้ำมัน (ธุรกิจน้ำมัน) และธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี (ธุรกิจปิโตรเคมี) โดยโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทเป็น 1 ใน 22 โรงกลั่นที่ดำเนินงานโดยบริษัทในเครือ ExxonMobil ทั่วโลก ในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีนั้น บริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในกลุ่มอะโรเมติกส์เป็นหลัก

อันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงการมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับกลุ่ม ExxonMobil ในหลายด้านอีกด้วย ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ทางด้านการค้า การดำเนินงาน การเงิน และชื่อเสียงของกลุ่ม จากการเป็นบริษัทในกลุ่ม ExxonMobil บริษัทได้ประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญในการกลั่นน้ำมันที่ทันสมัย ตลอดจนได้รับการสนับสนุนทางด้านการดำเนินงานและเทคนิคจากกลุ่ม นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับประโยชน์จากเครือข่ายของกลุ่ม ExxonMobil ที่มีอยู่ทั่วโลกในการจัดหาน้ำมันดิบและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทอีกด้วย บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปภายใต้เครื่องหมายการค้า "เอสโซ่" ให้แก่กลุ่มลูกค้าพาณิชย์และลูกค้าปลีกผ่านสถานีบริการ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกลุ่มซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกด้วย

การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพและเชื่อมต่อกับโรงงานอะโรเมติกส์ของบริษัทด้วย ทั้งนี้ บริษัทมีโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ที่มีกำลังการกลั่นสูงสุดขนาด 174,000 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดในประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทยังผลิตสารอะโรเมติกส์จากโรงงานที่เชื่อมต่อกับโรงกลั่นน้ำมันด้วย โดยโรงงานอะโรเมติกส์ของบริษัทมีกำลังการผลิตสารพาราไซลีน (Paraxylene – PX) จำนวนทั้งสิ้น 500,000 ตันต่อปี การดำเนินธุรกิจที่ครบวงจรทั้งโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานผลิตอะโรเมติกส์ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการเลือกผลิตผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีระหว่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมี ในปี 2559 ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่บริษัทกลั่นได้ประกอบด้วยน้ำมันดีเซล 36.5% น้ำมันเบนซิน 19.6% รีฟอร์เมต (Reformate) 12.7% น้ำมันเตา 8.7% น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน 8.2% และอื่น ๆ 14.3% ด้วยเทคโนโลยีและการดำเนินงานตามปรัชญาของ ExxonMobil ทำให้โรงกลั่นของบริษัทได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มโรงกลั่นชั้นนำในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกที่มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีการดำเนินงานที่มีความน่าเชื่อถือในระดับสูง

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของบริษัทจากการมีตราสินค้าที่มีชื่อเสียง มีช่องทางจำหน่ายที่กว้างขวาง และมีการดำเนินงานของสถานีบริการที่มีประสิทธิภาพโดยวัดจากยอดจำหน่ายต่อสถานีด้วย บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งจากตราสินค้าที่มีชื่อเสียงซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปชนิดพิเศษซึ่งมีราคาสูงได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันที่กว้างขวาง โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 บริษัทมีสถานีบริการน้ำมันที่บริหารงานภายใต้เครื่องหมายการค้า "เอสโซ่" จำนวน 543 แห่ง และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมียอดจำหน่ายน้ำมันผ่านเครือข่ายสถานีบริการมากเป็นอันดับ 4 อีกทั้งสถานีบริการน้ำมันของบริษัทยังสามารถสร้างยอดจำหน่ายต่อสถานีได้ในระดับสูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการอื่น ซึ่งสถานะที่แข็งแกร่งของธุรกิจค้าปลีกน้ำมันดังกล่าวช่วยบรรเทาผลกระทบจากวัฏจักรของธุรกิจน้ำมันให้แก่บริษัท

ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากความผันผวนในระดับสูงของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและปิโตรเคมี นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันด้วย ราคาน้ำมันที่ลดลงในช่วงปีที่ผ่านมาช่วยเพิ่มอุปสงค์น้ำมัน แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าน้ำมันหลายรายยังคงขยายจำนวนสถานีบริการมากขึ้น รวมถึงดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด

บริษัทมีแหล่งรายได้หลักจากธุรกิจน้ำมันซึ่งคิดเป็นประมาณ 92% ของรายได้รวม ในขณะที่อีก 8% มาจากธุรกิจปิโตรเคมี ราคาน้ำมันและพาราไซลีนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องถึงปี 2559 ส่งผลให้รายได้ของบริษัทลดลง 11.1% เหลือ 151,013 ล้านบาท ราคาน้ำมันเริ่มกลับมาฟื้นตัวในปลายไตรมาสที่ 1 ของปี 2559 และค่อย ๆ ฟื้นตัวมาจนถึงระดับในปัจจุบันซึ่งทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากราคาสินค้าคงเหลือคลังที่ปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับกำไรขั้นต้นของอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งในปี 2559 ก็ทำให้ค่าการกลั่นของบริษัทดีขึ้นเป็น 7.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จาก 4.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในปี 2558 นอกจากนี้ อัตรากำไรของพาราไซลีนที่ดีขึ้นเล็กน้อยยังส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานสูงขึ้น 254.8% เป็น 8,238 ล้านบาทอีกด้วย

สถานการณ์ที่ดีขึ้นส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ซึ่งทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 17.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 129,072 ล้านบาท โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นสำคัญ ในขณะที่ค่าการกลั่นของบริษัทอยู่ที่ 7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเมื่อเทียบกับ 6.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ในขณะที่บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานที่ 5,187 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560

อัตรากำไรที่ดีขึ้นตั้งแต่ปี 2559 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท นอกจากนี้ ในช่วงปี 2559 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทยังได้ชำระคืนหนี้จำนวนมากโดยใช้กระแสเงินสดของบริษัท มีผลให้เงินกู้รวมของบริษัทลดลงจาก 29,120 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2558 เหลือ 16,850 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2560 ด้วยเหตุนี้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจาก 12.8% ในปี 2558 เป็น 61.2% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปี) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทก็ดีขึ้นเป็น 39.8% ณ เดือนกันยายน 2560

ประมาณ 63% ของเงินกู้รวมของบริษัท ณ เดือนกันยายน 2560 เป็นเงินกู้ยืมจากกลุ่ม ExxonMobil นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับวงเงินกู้จากกลุ่ม ExxonMobil จำนวน 54,000 ล้านบาทซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้เบิกใช้ การสนับสนุนทางการเงินเหล่านี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัท

ในช่วงปี 2561-2563 ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังคาดว่าค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1,300-1,400 ล้านบาทต่อปีซึ่งได้รวมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงโรงกลั่นน้ำมันและการขยายสถานีบริการของบริษัทไว้ด้วย อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 40%-45% ซึ่งประมาณการนี้มีสมมติฐานราคาน้ำมันดิบที่ 55-60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลตลอดระยะเวลาประมาณการ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่บริษัทมีกับกลุ่ม ExxonMobil รวมถึงประโยชน์ต่าง ๆ ที่บริษัทจะได้รับจากกลุ่มด้วย นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเลียมในประเทศไทยเอาไว้ได้ ทั้งนี้ ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากความผันผวนของราคาน้ำมันและภาวะอุปทานส่วนเกินของพาราไซลีน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทมีโอกาสที่จะลดระดับลงหากบริษัทไม่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม ExxonMobil หรือหากกลุ่ม ExxonMobil ลดสัดส่วนการถือหุ้นใหญ่ในบริษัทลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ