ทริสฯ คงเครดิตองค์กร TTA ที่ “BBB",เพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ วงเงิน 2 พันลบ. เป็น “BBB" จาก “BBB-"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 27, 2017 16:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) ที่ระดับ “BBB" และปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่มีอยู่จำนวน 2,000 ล้านบาทของบริษัท เป็นระดับ “BBB" จากเดิมที่ระดับ “BBB-" การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของหุ้นกู้สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าอัตราส่วนหนี้ที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 20% เนื่องจากบริษัทซื้อเรือขนส่งสินค้ามือสอง และชำระด้วยเงินสดบางส่วนเพื่อรักษาระดับของเงินกู้ นอกจากนี้ บริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนหรือการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ ที่จะส่งผลต่อจำนวนของหนี้ที่มีหลักประกันอย่างมีนัยสำคัญ ในระยะเวลาอันสั้นด้วย

อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงการมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพียงพอในธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองทางเรือและธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งของบริษัท ตลอดจนความหลากหลายของประเภทธุรกิจที่ลงทุน และงบการเงินที่ยังคงแข็งแกร่ง ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนจากความไม่แน่นอนของลักษณะที่เป็นวงจรของธุรกิจเรือขนส่งสินค้า ตลอดจนอัตราการใช้งานเรือและอัตราค่าจ้างต่อวันที่ลดลงของธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่ง รวมถึงประวัติผลงานในการบริหารธุรกิจที่บริษัทซื้อกิจการมาที่มีค่อนข้างจำกัด

บริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ เป็นบริษัทลงทุนซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2526 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2538 ปัจจุบันบริษัทจัดประเภทธุรกิจที่ดำเนินการใหม่โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง ธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่ง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ทางการเกษตร (การจำหน่ายปุ๋ยในประเทศเวียดนาม) และกลุ่มการลงทุนอื่น ๆ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมีรายได้ประมาณ 9,800 ล้านบาทและมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ประมาณ 1,400 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองและธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งเป็นธุรกิจที่สร้าง EBITDA ส่วนใหญ่ให้แก่บริษัท ในสัดส่วน 25%-40% และ 50%-70% ของ EBITDA รวมของบริษัทตามลำดับ ในขณะที่ธุรกิจเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรมีสัดส่วน 10%-19%

ธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือของบริษัทฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดและกลับมาสร้างผลกำไรอีกครั้งตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2560 จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าขนส่ง โดยอัตราค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทเพิ่มขึ้น 51.4% เมื่อเทียบปีต่อปี จาก 5,473 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันในไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 เป็น 8,288 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันในไตรมาสเดียวกันของปีนี้ ในขณะที่ต้นทุนดำเนินงานที่เป็นเงินสดยังคงที่ที่ 5,077 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน ความสามารถในการทำงานของกองเรือปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากในปี 2560 บริษัทได้ซื้อเรือมือสองจำนวน 3 ลำซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าและมีอายุน้อยกว่าเดิม ทั้งนี้ ณ เดือนพฤศจิกายน 2560 บริษัทเป็นเจ้าของเรือทั้งหมด 21 ลำซึ่งมีขนาดระวางบรรทุกเฉลี่ย 53,941 ตัน (Dead Weight Tonnage -- DWT) และมีอายุเฉลี่ยประมาณ 12 ปี

ในอีกด้านหนึ่ง ธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งของบริษัทยังคงเผชิญกับการลดลงของอัตราการใช้งานของเรือและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคือ บริษัท เอเชีย ออฟชอร์ ดริลลิ่ง จำกัด (AOD) ซึ่งเป็นเจ้าของเรือขุดเจาะชนิด 3 ขา (Jack-up) จำนวน 3 ลำและดำเนินงานภายใต้สัญญาจ้างงานกับ Saudi Arabian Oil Company (Saudi Aramco) โดยส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทได้รับจากบริษัท AOD ลดลงเหลือประมาณ 4.5-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี จากประมาณ 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในปี 2559 ทั้งนี้สัญญาจ้างงานของบริษัทนั้นจะสิ้นสุดในปี 2562 และอาจได้รับการต่อสัญญาดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา

ด้วยการมีเป้าหมายที่จะสร้างความสมดุลระหว่างธุรกิจที่มีความผันผวนตามวงจรและธุรกิจที่ไม่เป็นไปตามวงจร บริษัทจึงลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนการบริหารจัดการน้ำ และโลจิสติกส์ อย่างไรก็ตาม การลงทุนเหล่านี้ยังไม่ได้สร้างผลกำไรสุทธิที่มีนัยสำคัญแก่งบการเงินรวมของบริษัท ในเดือนมิถุนายน 2560 บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด (PHC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 70% ได้ทำการซื้อกิจการของ “พิซซ่า ฮัท" ซึ่งมีจำนวน 100 สาขาในประเทศไทย ทั้งนี้ EBITDA ของ “พิซซ่า ฮัท" นั้นเป็นบวกแต่ยังค่อนข้างน้อยในขณะนี้

โครงสร้างเงินทุนยังคงเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนคุณภาพสินเชื่อและอันดับเครดิตของบริษัทอยู่เช่นเดิม สภาพคล่องของบริษัทมีมากเพียงพอโดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็นจำนวนมากถึง 7,000 ล้านบาท ในขณะที่หนี้เงินกู้ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงจาก 31.4% ณ สิ้นปี 2559 เหลือ 24.4% ณ เดือนกันยายน 2560 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมนั้นเพิ่มขึ้นจาก 10.2% ในปี 2559 เป็น 12.4% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560

ภายใต้สมมุติฐานของทริสเรทติ้ง ในช่วงระหว่างปี 2561-2563 ผลการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากการฟื้นตัวของตลาดเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองและประสิทธิภาพกองเรือที่ดีขึ้น สำหรับธุรกิจให้การบริการนอกชายฝั่งนั้น ทริสเรทติ้งตั้งสมมุติฐานว่าอัตราการใช้งานจะค่อย ๆ ดีขึ้น จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและการเพิ่มขึ้นของงานขุดเจาะของผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดคาดว่าจะยังคงดำรงต่อเนื่องและจะสร้างแรงกดดันต่ออัตราค่าจ้างอยู่

ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะสามารถมีเงินทุนจากการดำเนินการอย่างน้อย 1,400 ล้านบาทต่อปี ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ 1,200 ล้านบาทในปี 2561 และ 600 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2563 บริษัทอาจจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่โดยมีมูลค่าสูงสุดไม่เกิน 5,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ที่มีอยู่และกำลังจะหมดอายุในเดือนกรกฎาคม 2561 นี้ จำนวน 2,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ ดังนั้น คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอาจจะเพิ่มขึ้นแต่น่าจะอยู่ไม่เกิน 30% โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายน่าจะอยู่สูงกว่า 5 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมโดยเฉลี่ยน่าจะอยู่สูงกว่า 15%

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองและธุรกิจบริการนอกชายฝั่งจะยังเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้และ EBITDA ทริสเรทติ้งยังเชื่อด้วยว่าบริษัทจะสามารถรักษาสภาพคล่องที่ดีและความสามารถในการชำระหนี้ที่น่าพึงพอใจได้ในปีหน้า

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทค่อนข้างจำกัดในระยะสั้นจากความไม่แน่นอนของผลประกอบการในธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือ และธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากผลประกอบการของบริษัทดีกว่าที่ประมาณการไว้เป็นระยะเวลานาน ซึ่งกรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทประสบความสำเร็จในการสร้างความหลากหลายในการลงทุนจนส่งผลทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่มั่นคงมากยิ่งขึ้นในขณะเดียวกันก็สามารถดำรงสถานะงบการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้

อันดับเครดิตของบริษัทหรือแนวโน้มอาจได้รับการปรับลดลงหากผลประกอบการของบริษัทหรือกระแสเงินสดถดถอยลงจากประมาณการปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้จากภาวะตลาดของเรือขนส่งสินค้าและการให้บริการนอกชายฝั่งอ่อนแอลง และจากการขาดทุนอย่างหนักของธุรกิจอื่นที่บริษัทได้ลงทุนไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ