ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร NOBLE ที่ระดับ "BBB" /หุ้นกู้ ที่ "BBB-" ปรับแนวโน้มเป็น "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 28, 2017 15:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของบมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ที่ระดับ "BBB" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ "BBB-" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น "Stable" หรือ "คงที่" จาก "Negative" หรือ "ลบ" โดยแนวโน้มอันดับเครดิตที่ปรับใหม่สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นนี้เอาไว้ได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าโดยที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะไม่อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์สินค้าของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางถึงบน ตลอดจนยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวนมากซึ่งช่วยประกันรายได้ในอนาคตของบริษัทได้ส่วนหนึ่ง รวมถึงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงของประเทศและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนซึ่งมีผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลางถึงสูงในระยะสั้นถึงปานกลางด้วย

บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งมีราคาขายตั้งแต่ 120,000 บาทจนถึง 270,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) เป็นหลัก นอกจากนี้ สินค้าที่อยู่อาศัยของบริษัทยังรวมถึงบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ และที่ดินจัดสรรด้วย บริษัทมีการออกแบบที่อยู่อาศัยทุกประเภทอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ณ เดือนกันยายน 2560 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยเหลือขาย 16 โครงการ โดย 90% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ที่เหลือเป็นโครงการบ้านจัดสรร บริษัทมีมูลค่าเหลือขายของโครงการที่อยู่อาศัย (รวมทั้งยูนิตที่ก่อสร้างแล้วและที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง) เท่ากับ 19,000 ล้านบาท และมียอดขายที่รอการรับรู้รายได้จำนวน 13,000 ล้านบาท

ยอดขายของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 เท่ากับ 2,533 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากยอดขายของโครงการ Noble Around Sukhumvit 33 รายได้ของบริษัทปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 4,503 ล้านบาทในปี 2559 และ 7,828 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 จาก 373 ล้านบาทในปี 2558 ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งมอบยอดขายที่รอการรับรู้รายได้ในโครงการ Noble Ploenchit ตั้งแต่ปลายปี 2559 ทั้งนี้ ยอดขายที่รอการส่งมอบในปัจจุบันช่วยประกันรายได้บางส่วนจำนวน 2,700-3,700 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 รายได้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5,000-9,000 ล้านบาทต่อปีโดยได้รับแรงหนุนบางส่วนจากยูนิตที่เหลือขายในโครงการ Noble Ploenchit มูลค่าประมาณ 9,000 ล้านบาท

อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 42%-43% ของรายได้รวมในช่วงปี 2559 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2560 จาก 38%-40% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นเป็น 26% ในปี 2559 และ 32% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 จาก -113% ในปี 2558 และ 14% ในปี 2557 ทั้งนี้ คาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 20% ของรายได้รวม

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 76% ณ เดือนธันวาคม 2559 และ 66% ณ เดือนกันยายน 2560 จาก 79% ณ เดือนธันวาคม 2558 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนลดลงเป็น 1.77 เท่า ณ เดือนกันยายน 2560 ซึ่งสอดคล้องกับข้อกำหนดทางการเงินที่อัตราส่วนดังกล่าวต้องไม่เกิน 2.5 เท่า

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวนมากซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 13,000 ล้านบาทในปี 2561 และ 23,000 ล้านบาทในปี 2562 แม้บริษัทจะมีการขยายธุรกิจเชิงรุก แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ประมาณ 65% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ประมาณ 2 เท่าเอาไว้ได้เพื่อที่จะคงสถานะอันดับเครดิตที่ระดับปัจจุบันเอาไว้

เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรที่ปรับดีขึ้นและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ต่ำลงจึงทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 7% ในปี 2559 และ 28% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 จาก -4% ในปี 2558 และ 2% ในปี 2557 สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังคงเพียงพอ โดย ณ เดือนกันยายน 2560 สภาพคล่องทางการเงินประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 995 ล้านบาทและวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีก 2,770 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินจากการผ่อนดาวน์ของลูกค้าอีก 20%-30% ของราคาขายที่อยู่อาศัยด้วย

ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 3,520 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 685 ล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 1,848 ล้านบาท และเงินกู้โครงการระยะยาวจำนวน 987 ล้านบาท ในการนี้ บริษัทจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดชำระและจะชำระหนี้เงินกู้โครงการด้วยเงินสดที่ได้รับจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมต่าง ๆ ของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินเอาไว้ได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ 5,000-9,000 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้ได้อย่างน้อย 20% ในขณะที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนควรอยู่ที่ประมาณ 65% หรืออัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนที่ประมาณ 2 เท่า

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่คาดการณ์ไว้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากขนาดธุรกิจของบริษัทขยายใหญ่ขึ้นและโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน

ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานใพ.ย.60 อยู่ที่ 0.99% และ 0.61% ต่อปี สำหรับอัตราการว่างงาน อยู่ที่ 1.1% ของกำลังแรงงานรวม ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้น ต.ค.60 อยู่ที่ระดับ 41.7% อยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกิน 60% สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพ.ย.60 อยู่ที่ระดับ 203.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.5 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ