ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร SUPER ที่ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 4, 2018 09:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ซุปเปอร์บล๊อก "BBB-" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนซึ่งบริษัทได้รับจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และแนวโน้มเชิงบวกของอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากกลยุทธ์การลงทุนที่ค่อนข้างเสี่ยงของบริษัทและความเป็นไปได้ที่ระดับการก่อหนี้จะเพิ่มสูงขึ้นจากแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงด้านการดำเนินงานและความเสี่ยงของประเทศซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการโรงไฟฟ้าที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ด้วยเช่นกัน

SUPER ก่อตั้งในปี 2537 เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอิฐมวลเบาและได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2548 ต่อมาบริษัทได้หยุดดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตอิฐมวลเบาและได้ขายธุรกิจดังกล่าวให้แก่ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ในปี 2556 หลังจากนั้นบริษัทได้เริ่มธุรกิจใหม่ คือธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและธุรกิจพลังงานทดแทน โดยบริษัทได้ซื้อหุ้นจำนวน 76.25% ใน บมจ.โอเพ่น เทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในประเทศไทยในช่วงปลายปี 2555 อีกทั้งยังได้ซื้อกิจการของ บริษัท รูทฟาร์ม จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วงปลายปี 2556 ด้วย ปัจจุบันธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นธุรกิจหลักซึ่งสร้างรายได้ให้บริษัทเกือบทั้งหมด ณ เดือนกันยายน 2560 กลุ่มโลจายะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่โดยถือหุ้นประมาณ 28% ในบริษัท

ความแข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจผลิตไฟฟ้าเกิดจากความสำเร็จในการพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวนมากของบริษัทซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย หลังจากที่บริษัทได้ซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สร้างเสร็จพร้อมดำเนินการหลายโครงการในช่วงปี 2556 และปี 2557 แล้ว บริษัทก็เติบโตอย่างมากในปี 2558 โดยบริษัทได้ซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ยังไม่ได้ก่อสร้างจำนวนหลายโครงการ ซึ่งมีกำหนดเริ่มดำเนินงานภายในปลายปี 2558 แม้บริษัทต้องบริหารจัดการกับโรงไฟฟ้าหลายโครงการพร้อม ๆ กัน แต่เกือบทุกโครงการก็เริ่มจ่ายไฟฟ้าได้ทันภายในระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

ณ เดือนพฤศจิกายน 2560 กำลังการผลิตรวมของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 680 เมกะวัตต์ ซึ่งเกือบทุกโครงการได้ดำเนินการผลิตแล้ว และหากรวมกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทอื่นที่บริษัทเข้าไปลงทุน กำลังการผลิตรวมจะอยู่ที่ประมาณ 770 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ บริษัทมีกำลังการผลิตรวมสูงที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้ง

อันดับเครดิตของบริษัทมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นปัจจัยสนับสนุน ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วของบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้จ่ายกระแสไฟฟ้าที่เป็นหน่วยงานภาครัฐซึ่งในแต่ละสัญญามีการระบุราคาซื้อขายไฟฟ้าไว้อย่างชัดเจนด้วย ดังนั้น ความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระเงินจากผู้รับซื้อไฟฟ้าจึงอยู่ในระดับต่ำ

ผลการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ โดยนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการผลิต ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่ของบริษัทสูงกว่าปริมาณไฟฟ้าที่คาดว่าจะผลิตได้ตามความน่าจะเป็นที่ 75% (ระดับ P75) แม้ผลการดำเนินงานดังกล่าวจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ผลการดำเนินงานในระยะยาวยังต้องรอการพิสูจน์ต่อไปเนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทส่วนใหญ่เริ่มเปิดดำเนินการในปี 2559

ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อแนวโน้มธุรกิจพลังงานทดแทนเมื่อพิจารณาจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของการบริโภคไฟฟ้า ตลอดจนแผนระยะยาวของภาครัฐที่จะพัฒนาพลังงานทางเลือกต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม และการสนับสนุนที่ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้รับจากภาครัฐ

ในทางกลับกัน อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากกลยุทธ์การลงทุนที่ค่อนข้างเสี่ยงของบริษัท โดยบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2558 จากการซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวนมาก ซึ่งแม้โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่ต่ำ แต่การมีโรงงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจำนวนมากพร้อม ๆ กันก็ทำให้บริษัทจำเป็นต้องเพิ่มกำลังคนและระบบในการควบคุมดูแลเพื่อให้ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทจำเป็นต้องเพิ่มกำลังคนโดยเฉพาะในระดับผู้บริหารเพื่อรองรับการขยายตัวของโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัท นอกจากนี้ การเติบโตอย่างรวดเร็วก็ทำให้ระดับการก่อหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งแผนการลงทุนที่ค่อนข้างเสี่ยงของบริษัทก็จะเป็นปัจจัยที่ลดทอนปริมาณกระแสเงินสดอิสระของบริษัท

บริษัทมีแนวโน้มที่จะลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงในการดำเนินงานมากขึ้น บริษัทวางแผนใช้เงินประมาณ 2,600 ล้านบาทเพื่อที่จะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะในประเทศจำนวน 2 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกัน 17 เมกะวัตต์ โดยทั่วไปแล้วโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะจะมีความเสี่ยงในการดำเนินงานสูงเนื่องจากมีความซับซ้อนมากกว่าโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลหรือโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในขณะที่บริษัทมีความชำนาญในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ค่าความร้อนที่ได้จากเชื้อเพลิงขยะก็อาจผันแปรแตกต่างกันอย่างมาก อีกทั้งโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะก็ยังมีความเสี่ยงในเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย

บริษัทมีความเสี่ยงของประเทศจากการที่บริษัทเริ่มขยายการลงทุนไปในต่างประเทศ โครงการแรกในต่างประเทศของบริษัทคือโครงการเทียนจิน (Tianjin) ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 20 เมกะวัตต์ในประเทศจีนที่บริษัทต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 800 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทยังวางแผนจะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาดใหญ่ในประเทศเวียดนามร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นด้วย โรงไฟฟ้าดังกล่าวจะมีกำลังการผลิตรวมกันทั้งสิ้น 700 เมกะวัตต์ โดยโครงการระยะแรก (100 เมกะวัตต์) ต้องใช้เงินลงทุน 7,000-8,000 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมจะมีความเสี่ยงจากการดำเนินงานที่สูงกว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เนื่องจากมีเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่า อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านการก่อสร้างที่มากกว่าด้วย

บริษัทมีโอกาสที่จะเผชิญกับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลารวมถึงความเสี่ยงจากเครดิตของผู้รับซื้อไฟฟ้าในประเทศที่โครงการดำเนินงานอยู่ ซึ่งหากระบบการจัดการความเสี่ยงของบริษัทไม่ดีพอก็อาจทำให้บริษัทเกิดความผิดพลาดเสียหายได้ โดยความผิดพลาดเสียหายอาจส่งผลลบต่อสถานะทางธุรกิจของบริษัทจากการลงทุนที่มีขนาดใหญ่ของบริษัท

อันดับเครดิตยังถูกลดทอนลงจากโครงสร้างเงินทุนที่ต้องก่อหนี้จำนวนมาก โดยบริษัทมีสินทรัพย์และหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2557 จากการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 64.5% ณ เดือนกันยายน 2560 นอกจากนี้ ต้นทุนเงินกู้ยืมของบริษัทก็ยังสูงกว่าบริษัทในประเทศรายอื่น ๆ ที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งอีกด้วย ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงทำให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ของบริษัทลดต่ำลงแม้บริษัทจะมีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูงก็ตาม ส่งผลให้กำไรสุทธิมีความอ่อนไหวสูงต่อผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ซึ่งบริษัทจำเป็นต้องรักษาผลการดำเนินงานให้อยู่ในระดับสูงเพื่อให้มีกำไรสุทธิที่น่าพอใจ

ระดับการก่อหนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายการลงทุน โดยบริษัทวางแผนจะจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บางส่วนให้แก่กองทุนดังกล่าว ซึ่งการขายดังกล่าวจะช่วยลดภาระงบดุลของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินสุทธิประมาณ 8,000 ล้านบาทหลังจากที่กลับเข้าไปลงทุนในกองทุนดังกล่าว ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งที่ไม่รวมเงินรับสุทธิจากการขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ดำเนินงานแล้วให้แก่กองทุนแต่จะรวมการลงทุนในต่างประเทศ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นจนเกือบถึง 70% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า อนึ่ง การก่อหนี้ในระดับสูงและกลยุทธ์การลงทุนที่ค่อนข้างเสี่ยงเป็นปัจจัยลดทอนอันดับเครดิตของบริษัท

ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายโครงการเปิดดำเนินงาน รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นประมาณ 3,600 ล้านบาทในปี 2559 และประมาณ 4,300 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 จากระดับต่ำกว่า 400 ล้านบาทในช่วงปี 2555 จนถึงปี 2558 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 5,500-6,500 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทเริ่มฟื้นตัวหลังจากที่ลดต่ำลงในช่วงลงทุน โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) เพิ่มขึ้นเป็น 80% ในปี 2559 และ 85.3% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนในปี 2557 และปี 2558

ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่เหนือระดับ 75% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับ 5,000 ล้านบาทในปี 2562 อย่างไรก็ดี แม้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้น แต่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเมื่อเทียบกับภาระหนี้จะลดลง โดยภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้กำไรจากการดำเนินงานหลังหักดอกเบี้ยจ่ายลดต่ำลง ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะลดลงเหลือ 2-3 เท่า จาก 3.5 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ในระดับ 7%-8% เมื่อเทียบกับ 11.6% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจและสร้างกระแสเงินสดได้อย่างที่วางแผนไว้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างได้ตามแผนและได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ และแม้ระดับการก่อหนี้จะเพิ่มขึ้น แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะยังคงต่ำกว่า 70%

อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นหากผลการดำเนินงานของบริษัทแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะช่วยยกระดับกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ต่ำกว่าที่คาดการณ์หรือเป้าหมายที่วางไว้ หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากการที่บริษัทไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างเพียงพอ หรือมีการลงทุนโดยใช้เงินกู้มากเกินไป หรือมีต้นทุนในการก่อสร้างที่สูงกว่าคาด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ