(เพิ่มเติม) LH ตั้งเป้าปี 61 รายได้รวม 3.67 หมื่นลบ.-ยอดขาย 3.1 หมื่นลบ.-งบลงทุน 1.3 หมื่นลบ.-ออกหุ้นกู้ 1.4 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 17, 2018 14:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 61 อยู่ที่ 3.67 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ 3.3 หมื่นล้านบาทและรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าอีก 3.7 พันล้านบาท

ด้านยอดขายในปี 61 ตั้งเป้าไว้ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3.63 หมื่นล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น โครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 16 โครงการ ซึ่งจะเน้นไปที่การพัฒนาโครงการแนวราบ และโครงการในต่างจังหวัดอีก 2 โครงการ ซึ่งจะทำให้ภายในสิ้นปี 61 บริษัทจะมีจำนวนโครงการทั้งหมด 86 โครงการ จากสิ้นปีก่อนที่มี 68 โครงการ

ในปีนี้ บริษัทฯ วางงบลงทุนรวมในปีนี้ไว้ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น งบสำหรับซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการอยู่ที่ 7 พันล้านบาท และงบสำหรับลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าอีก 6 พันล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนการออกหุ้นกู้ไม่ต่ำกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปี 61 บริษัทจะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับปีก่อน โดยฐานะการเงินของบริษัท ณ สิ้นปี 60 ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยบริษัท และบริษัทย่อยมีหนี้เงินกู้สุทธิอยู่ที่ 4.35 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ราว 87% และมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยอยู่ที่ 2.35%

นายอดิศร กล่าวว่า บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมในการขายโครงการออกไปเพื่อนำมาเงินมาลงทุนต่อ ซึ่งในปีนี้หลังจากมีการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯส่งผลให้ภาษีนิติบุคคลลดลงเหลือ 21% จากเดิมที่ 35% เป็นผลบวกต่อโอกาสในการขายโครงการที่จะทำให้มีกำไรมากขึ้น เพราะมีอัตราภาษีที่ลดลง 14% ซึ่งหากบริษัทมีการขายโครงการในสหรัฐฯออกไปจะทำให้มีกำไรกลับเข้ามามากขึ้น

“การมองหาโครงการใหม่ในสหรัฐฯยังอยู่ระหว่างการศึกษา โดยในปีนี้เราจะเน้นการลงทุนในประเทศเป็นหลักมากกว่าการลงทุนไนต่างประเทศ เพื่อสร้างฐานของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าให้แข็งแกร่ง และมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าปัจจุบันที่ 19% โดยในปี 62 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจอสังหาริททรัพย์เพื่อการให้เช่าเพิ่มเป็น 4 พันล้านบาท จากปีนี้ที่ 3.7 พันล้านบาท ซึ่งในปี 61 บริษัทฯจะรับรู้รายได้ของโครงการเทอมินอล 21 พัทยา ได้เต็มปี จากปีนี้ที่โครงการเทอมินอลจะเปิดให้บริการในช่วงเดือนต.ค.นี้"นายอดิศร กล่าว

นายนพพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริษัทและประธานกรรมการบริหาร LH เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ก.พ. 61 บริษัทเตรียมเซ็นสัญญาเช่าที่ดินสวนชูวิทย์ บริเวณสุขุมวิทซอย 10 เนื้อที่ 6 ไร่ ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระยะเวลาในการเช่าพื้นที่อยู่ที่ 30 ปี และต่ออายุได้อีก 4 ปี โดยบริษัทจะพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าในรูปแบบอาคารสำนักงาน พื้นที่เช่า 20,000 ตารางเมตร และโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักราว 400 ห้อง และมีพื้นที่ค้าปลีกอีก 3,000 ตารางเมตร โดยใช้งบลงทุนอยู่ที่ 6 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มลงทุนก่อสร้างในช่วงต้นปี 62 และคาดว่าจะใช้ระยะเวลาราว 3 ปี จะสามารถเริ่มเปิดให้บริการได้

ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะเช่าที่ดินเพิ่มอีก 1-2 แห่ง เพื่อพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าในอนาคต คาดว่าจะได้ข้อสรุปการเช่าที่ดินแปลงใหม่ที่อยู่ระหว่างการเจรจาได้ภายในปีนี้ ขณะที่โครงการเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ปัจจุบันมีอยู่ 5 อาคาร จำนวนห้องเช่ากว่า 1,000 ห้อง มูลค่ารวมกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท

นายนพพร กล่าวต่อว่า ระดับราคาขายที่อยู่อาศัยเฉลี่ยของบริษัทในปี 61 จะลดลงมาอยู่ที่ 7 ล้านบาท/ยูนิต จากปีก่อนที่ 7.5 ล้านบาท/ยูนิต เพราะในปีนี้บริษัทจะเน้นการเปิดโครงการทาวน์เฮาส์ระดับราคา 2-4 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่เน้นเปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป โดยการหันมาเปิดโครงการทาวน์เฮาส์และแนวราบอื่น ๆ มากขึ้นเป็นเพราะยอดขายโครงการแนวราบของภาพรวมทั้งตลาดในปี 60 เป็นบวก ในขณะที่ยอดการเปิดตัวโครงการแนวราบในปีก่อนติดลบ ทำให้บริษัทฯเชื่อว่าความต้องการซื้อโครงการแนวราบยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการทาวน์เฮาส์ ซึ่งแตกต่างจากภาพรวมของคอนโดมิเนียมที่ปีก่อนจำนวนการเปิดตัวคอนโดมิเนียมเป็นบวก แต่ยอดขายติดลบ

ส่วนภาพรวมทั้งตลาดอสังหาริทรัพย์ไทยในปี 61 มองว่าจะเติบโตจากปีก่อน 5-8% โดยตลาดหลักที่ยังขับเคลื่อนการเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก อีกทั้งมองว่าปัจจัยทางด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีการคาดการณ์ว่าเติบโตเฉลี่ย 4% ในปี 61 จากภาคการล่งออกที่ยังขยายตัวได้ดีเป็นปัจจัยหนุนหลัก ประกอบกับภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จะเป็นแรงหนุนให้ความมั่นใจของประชาชนฟื้นกลับมาดีได้อย่างชัดเจน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เป็นผลบวกต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในปี 61 ส่วนแนวโน้มราคาต้นทุนที่ดินในปี 61 มองว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากหรือแตะ 20% จากปีก่อนที่เพิ่มขึ้น 12-15% จะส่งผลราคาขายอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นตาม แม้ว่าต้นทุนก่อสร้างจะยังทรงตัว

ด้านการออกหุ้นกู้ของบริษัทในปีนี้มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท จะแบ่งการออกหุ้นกู้เป็น 2 ช่วง ในไตรมาส 2/61 และไตรมาส 4/61 ซึ่งจะนำมาใช้ลงทุนและคืนหนี้เงินกู้สถาบันการเงิน โดยระยะเวลาของหุ้นกู้ที่จะออกใหม่มีอายุ 3 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่บริษัทมองว่ามีความต้องการซื้อของนักลงทุนมาก และอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะอยู่ในช่วง 2.2-2.4% ต่อปี ส่วนมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัท ณ สิ้นปี 61 อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยโอนในปี 61-62 และจะเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 3.3 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 19% จากปีก่อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ