(เพิ่มเติม1) บลจ.กรุงศรี ตั้งเป้า AUM ปี 61 โตราว 13% เป็น 5.26 แสนลบ.พัฒนาออนไลน์เพิ่มความสะดวกผู้ลงทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 21, 2018 16:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.ศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจปี 61 บริษัทตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ที่ 5.26 แสนล้านบาท เติบโตประมาณ 13% จากสิ้นปี 60 ที่อยู่ในระดับ 4.74 แสนล้านบาท โดยมีแผนออกกองทุนไม่น้อยกว่าปีก่อนที่มีกองทุนใหม่ 16 กองทุน โดยกองแรกที่เปิดขายในปีนี้คือ กองทุนกรุงศรีไชน่าเอแชร์อิควิตี้ -สะสมมูลค่า (KFACHINA-A) เปิดขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 26 ก.พ.-5 มี.ค.61 และในปลายไตรมาส 2/61 เป็นกองทุน LTF และ RMF เพื่อให้ครอบคลุมการลงทุนมากขึ้น

ส่วนช่องทางการขายหลักราว 70% เป็นการขายผ่านสาขาธนาคาร และจะขยายทุกช่องทางให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายขึ้น โดยจะมีแอพของ บลจ.กรุงศรี คาดเปิดใช้ได้ในไตรมาส 3/61 จากปีก่อนที่มี Line Account นอกจากนี้กำลังดำเนินการให้ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีออนไลน์ได้โดยหม่ต่องติดต่อผ่านแบงก์หรือตัวแทน

นอกจากนี้ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเพิ่มลูกค้า จำนวน 3.3 หมื่นคนเป็น 3.70 แสนคน จากสิ้นปี 60 มีฐานลูกค้าอยู่ที่ 3.37 แสนคน เพิ่มขึ้นมา 5.2 หมื่นคนหรือเติบโต 9.4%

น.ส.ศิริพร กล่าวว่า การเติบโตของ AUM ในปีนี้มาจาก 3 กลยุทธ์หลัก คือ การรักษาคุณภาพการบริหารกองทุนให้มีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ ผนึกกำลังร่วมกับกลุ่มกรุงศรี และ MUFG เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง มุ่งเป็นผู้นำด้านส่วนแบ่งตลาดสำหรับลูกค้าญี่ปุ่นและนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนในการจัดสรรการลงทุนที่เหมาะสมกับทุกสภาวะตลาด

นอกจากนี้ เรายังพัฒนาในด้านอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยเพื่อประสบการณ์การลงทุนที่ดีสำหรับลูกค้า ทั้งในส่วนของการเพิ่มชนิดหน่วยลงทุนในกองทุนเดียวให้ลูกค้าสามารถเลือกลงทุนในแบบที่ต้องการ เช่น กองทุน KFTSTAR มีชนิดจ่ายเงินปันผลและสะสมมูลค่า หรือ Income Fund ที่มีทั้งแบบขายคืนอัตโนมัติรายเดือนและแบบสะสมมูลค่า การพัฒนา Provident Fund Service ทั้งในส่วนของระบบสำหรับนายจ้างและลูกจ้าง

รวมทั้งการพัฒนาระบบออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น Line @krungsriasset และปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบ Mobile Application เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลการลงทุนและสามารถทำธุรกรรมได้ด้วยตนเองในทุกที่ทุกเวลา ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปีนี้

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 60 บริษัทมีการเติบโตอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ทั้งในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ส่วนแบ่งการตลาด และผลการดำเนินงานกองทุนภายใต้การบริหารจัดการ โดยในส่วนของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ สิ้นปี 60 มีมูลค่า 474 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 31.22% เมื่อเทียบกับปี 59 ในขณะที่อุตสาหกรรมเติบโตเพียง 9.22% ส่งผลให้ บลจ.กรุงศรี ก้าวขึ้นมาเป็น บลจ.ที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอุตสาหกรรมจากการเติบโตที่แข็งแกร่งในทุกประเภทธุรกิจ และมีอัตราการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมถึง 3 เท่าตัว โดยเฉพาะกองทุนส่วนบุคคลที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 101% ในส่วนของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีการอัตราการเติบโต 22.18% และ 33.23 % ตามลำดับ

หากพิจารณาด้านผลการดำเนินงานกองทุนจะพบว่าทุกกองทุนหลักของ บลจ.กรุงศรี (Flagship Fund) มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น ดังเห็นได้จากการที่มี 8 ใน 10 กองทุนภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทมีผลการดำเนินงานดีที่สุดจากทั้งหมด 200 กองทุนหุ้นในกลุ่มกองทุนหุ้นทั่วไป (Equity General) นอกจากนี้ ในส่วนของกองทุน LTF ยังติดอันดับกองทุนที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุด (Top Quartile)

โดยกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาว อิควิตี้ (KFLTFEQ) เป็นกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนดีที่สุดในปี 2560 จากผลการดำเนินงานกองทุนที่ดีอย่างสม่ำเสมอส่งผลให้ บลจ.กรุงศรี เป็น 1 ใน 5 บลจ. ที่มีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิสูงสุดในแต่ละประเภทกองทุน ครอบคลุมทั้งกองทุนตลาดเงินและตราสารหนี้ กองทุนผสม กองทุนหุ้น และกองทุน FIF

สำหรับกองทุนที่มียอดเงินเข้าลงทุนสุทธิสูงสุดในปี 60 ประกอบด้วย 5 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงศรีสมาร์ทตราสารหนี้ (KFSMART) มีเงินลงทุนเข้าสุทธิ 25,046 ล้านบาท กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลสมาร์ทอินคัม (KF-SINCOME) และกองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลคอลเล็คทีฟสมาร์ทอินคัม (KF-CSINCOM) มีเงินลงทุนเข้าสุทธิ 23,274 ล้านบาท กองทุนเปิดกรุงศรีแอคทีฟตราสารหนี้ (KFAFIX) มีเงินลงทุนเข้าสุทธิ 9,641 ล้านบาท กองทุนเปิดกรุงศรีชีวิตดี๊ดี (KFHAPPY) มีเงินลงทุนเข้าสุทธิ 6,205 ล้านบาท และกองทุนเปิดกรุงศรีไทยออลสตาร์-ปันผล (KFTSTAR-D) มีเงินลงทุนเข้าสุทธิ 2,349 ล้านบาท

นอกจากนี้ กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV) ยังคงรักษาตำแหน่งกองทุนรวมหุ้นที่มีขนาดใหญที่สุดในประเทศไทยด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 19,737 ล้านบาท

ด้านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริษัทก็ได้รับความไว้วางใจจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและลูกค้าบริษัทญี่ปุ่นให้บริหารจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นางสุภาพร ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากแรงหนุนของการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยคาดว่าการส่งออกจะยังคงขยายตัวได้ดี เนื่องจากสัญญาณการค้าในตลาดโลกมีความแข็งแกร่งต่อเนื่องตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตดีตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ด้านการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการที่อยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้างและโครงการที่จะเริ่มก่อสร้างในอนาคต ส่วนการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและตลาดตราสารหนี้ไทย คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมจนถึงช่วงปลายปี เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบช่วงไตรมาสที่หนึ่ง ก่อนที่จะมีความผันผวนสูงขึ้นหลังจากนั้นตามความเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้สหรัฐ"

นอกจากนี้ บริษัทยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนตราสารทุนในระยะกลางถึงยาว จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 61 ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ยังเป็นที่น่าสนใจลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆในภูมิภาค

ส่วนในระยะสั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมีแนวโน้มผันผวนไปตามปัจจัยภายนอกประเทศเป็นหลัก ได้แก่ ทิศทางการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญๆ ในประเทศต่างๆ และกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ เป็นต้น

"ในปี 60 บลจ.กรุงศรี ได้แนะนำพอร์ตการลงทุนความเสี่ยงระดับปานกลาง ได้ผลตอบแทน 16.59% สำหรับในปี 61 แนะนำพอร์ตการลงทุนความเสี่ยงระดับปานกลาง โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้น 65% เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ดี เน้นลงหุ้นที่เป็นหุ้นเติบโต โดยลงในหุ้นไทย 33% หุ้นต่างประเทศในตลาดพัฒนาแล้ว 22% และหุ้นต่างประเทศตลาดเกิดใหม่ 10% ในส่วนของตราสารหนี้แนะนำให้ลงทุน 35% โดยเน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีเนื่องจากได้รับดอกเบี้ยสูงกว่า ในขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ยังดี เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโต โดยให้ลงทุนในตราสารหนี้ภายในประเทศ 20% และตราสารหนี้ต่างประเทศ 15%" นางสุภาพร กล่าว

นางสุภาพร กล่าวว่า มีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทย ที่การส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง และการเติบโตการท่องเที่ยวยังมีต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงขึ้น ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตต่อเนื่องโดยปีนี้คาดดัชนี SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1,732-1,900 จุด อย่างไรก็ดีหุ้นไทยยังเผชิญความผันผวนที่มาจากปัจจัยต่างประเทศ การปรับตัวลงเป็นโอกาสเก็บหุ้น แนะนำลงทุน กลุ่มค้าปลีก กลุ่มที่เกี่ยวกับนักท่องเที่ยว และกลุ่มผู้ให้สินเชื่อรายย่อย

ส่วนตลาดหุ้นในตลาดโลกก็ยังเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกเติบโตพร้อมกัน (Synchronize) โดย GDP โลกคาดว่าจะเติบโต 3.9% และยังคาดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง และจะปรับขึ้นครั้งแรกในเดือน มี.ค.นี้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ