THAI เผยปี 61 รับมอบแอร์บัส 5 ลำ-เล็งเปิดบินตรงเข้าสหรัฐปลายปี แจงเหตุปี 60 ขาดทุนอ่วมกว่า 2 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday February 26, 2018 19:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.การบินไทย (THAI) มีแผนรับมอบเครื่องบินใหม่แบบแอร์บัส A350-900 XWB จำนวน 5 ลำ โดยเป็นเครื่องบินเช่าดำเนินงานจำนวน 3 ลำ และเครื่องบินเช่าการเงินจำนวน 2 ลำ เพื่อนำมาใช้ทำการบินในเส้นทางข้ามทวีป และเส้นทางภูมิภาค เพื่อเพิ่มศักยภาพฝูงบิน ทั้งนี้ การจัดทำแผนโครงการจัดหาเครื่องบินเป็นส่วนหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ฝูงบินระยะยาวของบริษัท

"วันนี้เรื่องการจัดหาเครื่องบิน ยังไม่ final วันนี้ เป็นการประชุมบอร์ดเพื่อเตรียมการจัดประชุมผู้ถือหุ้น "พล.อ.อ.ตรีทศ สนแจ้ง รองประธานกรรมการ และรักษาการประธานกรรมการ THAI กล่าว

ส่วนความคืบหน้าการแก้ไขปัญหากรณีสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) ปรับลดระดับความปลอดภัยด้านการบินของไทยจาก Category 1 มาอยุ่ที่ Category 2 ตั้งแต่ต.ค.58 นั้น สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยคาดว่าจะเชิญให้ FAA เข้ามาตรวจประเมินให้เสร็จสิ้นกระบวนการภายในกลางปี 61 ซึ่งหากผ่านการตรวจประเมินคาดว่าสายการบินของไทยจะสามารถขอเปิดเส้นทางบินตรงเข้าสหรัฐอเมริกาได้ช่วงปลายปี 61

พล.อ.อ.ตรีทศ กล่าวอีกว่า ในปี 61 บริษัทจะดำเนินการตามแผนวิสาหกิจปี 60-64 ฉบับทบทวนเพื่อขับเคลื่อนองค์กรต่อเนื่องจากแผนปฏิรูประยะที่ 3 ให้ทิศทางการดำเนินธุรกิจเป็นไปในกรอบและแนวทางเดียวกัน และสอดคล้องกับสถานการณ์การดำเนินธุรกิจและเพี่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้ 5 กลยุทธ์ คือ 1)การเร่งทำกำไรเพิ่มจากตลาดเชิงรุก และมีตุ้นทุนที่แข่งขันได้ 2)การพัฒนาศักยภาพและแสวงหาโอกาสของกลุ่มธุรกิจ 3)การสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ดีให้กับลูกค้า 4) การประยุกต์นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล และ 5)การบริหารทรัพยกรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 60 มีกำไรจากการดำเนินงานธุรกิจการบิน (Operating profit) จำนวน 2,856 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 29.8% สาเหตุหลักมาจากค่าน้ำมันเครื่องบินที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันเฉลี่ยที่สูงกว่าปีก่อน 24.2% ประกอบกับรายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยต่ำกว่าปีก่อน 7.7% จากการแข่งขันที่รุนแรงและการปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมชดเชยค่าน้ำมัน (Fuel Surcharge) ถึงแม้ว่าจะมีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารสูงกว่าปีก่อนก็ตาม

ทั้งนี้ เมื่อหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์และเครื่องบิน และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแล้ว บริษัทฯ และบริษัทย่อย ขาดทุนสุทธิ 2,072 ล้านบาท

เรืออากาศเอกเอก กนก ทองเผือก รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายบริหารงานกฎหมายและบริหารทั่วไป ปฏิบัติงานในหน้าที่รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ THAI เปิดเผยว่า ในปี 60 บริษัทฯ ได้เข้าสู่ระยะที่ 3 ของแผนปฏิรูปองค์กร คือ "การเติบโตอย่างยั่งยืน" โดยมีกลยุทธ์ในการดำเนินงาน 6 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) พัฒนาเครือข่ายการบินที่แข่งขันได้ ทำกำไรและลดความซับซ้อนของฝูงบิน 2) เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเสริมสร้างรายได้ 3) สร้างความเป็นเลิศในการให้บริการ (Service Ring) 4) มีต้นทุนที่แข่งขันได้ และการดำเนินงานมีประสิทธิภาพ 5) สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความยั่งยืนและพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพดีเยี่ยม 6) บริหารบริษัทในเครือและกลุ่มธุรกิจ และพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจใหม่เพื่อความยั่งยืน โดยได้มีการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การเปิดเส้นทางบินตรงสู่กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย เพิ่มความถี่ของเที่ยวบินในจุดบินที่มีศักยภาพและขยายเส้นทางบินในภูมิภาคอาเซียนโดยใช้สายการบินไทยสมายล์

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เพิ่มศักยภาพฝูงบินโดยรับมอบเครื่องบินใหม่ จำนวน 7 ลำ และปลดระวางเครื่องบินเช่าดำเนินงาน A330-300 จำนวน 2 ลำ ทำให้ฝูงบิน ณ 31 ธ.ค.60 มีจำนวน 100 ลำ สูงกว่า ณ สิ้นปีก่อน 5 ลำ โดยมีอัตราการใช้ประโยชน์ของเครื่องบินเพิ่มขึ้นจาก 11.5 ชั่วโมง เป็น 12.0 ชั่วโมง มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 6.4% ปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 14.7% อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 79.2% สูงกว่าปีก่อนซึ่งเฉลี่ยที่ 73.4% และสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยมีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 24.6 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.3%

อย่างไรก็ตาม ในปี 60 บริษัทฯ ต้องเผชิญความท้าทายจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานที่ปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน และการแข่งขันที่รุนแรงจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินทั้งในประเทศและทั่วโลก ประกอบกับจากเหตุการณ์เครื่องยนต์โรลส์รอยซ์รุ่น TRENT1000 ที่ติดตั้งกับเครื่องบินโบอิ้ง 787-8 ที่บริษัทฯ มีอยู่ในฝูงบิน จำนวน 6 ลำ ที่ประสบปัญหาจากตัวใบพัดในเครื่องยนต์ (Turbine Blade) ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับสายการบินทั่วโลกที่ใช้เครื่องยนต์รุ่นดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบกับการให้บริการและกระทบต่อตารางการบิน ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ตลอดจนสูญเสียโอกาสในการหารายได้ตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาเรียกค่าชดเชยจากผลกระทบดังกล่าว

ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยประจำปี 60 มีรายได้ รวมจำนวน 191,946 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,389 ล้านบาท หรือ6.3% โดยเพิ่มขึ้นทั้งจากรายได้ค่าโดยสารและค่าน้ำหนักส่วนเกิน รายได้จากค่าระวางขนส่งและไปรษณียภัณฑ์ และรายได้จากการบริการอื่นๆ ค่าใช้จ่าย รวมจำนวน 189,090 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,604 ล้านบาท หรือ 7.1% เป็นผลจากค่าน้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้น 4,879 ล้านบาท หรือ 10.8% จากราคาน้ำมันเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 24.2%

ประกอบกับปริมาณการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการผลิต ถึงแม้ว่าจะมีการบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมันได้ดีขึ้นกว่าปีก่อนก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมน้ำมันสูงขึ้น 8,313 ล้านบาท หรือ 6.6% สาเหตุหลักเกิดจากปริมาณการผลิตและปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าซ่อมแซมและซ่อมบำรุงอากาศยานเพิ่มขึ้น ขณะที่มีต้นทุนทางการเงินสุทธิ ลดลง 588 ล้านบาท หรือ 11.5% จากการบริหารเงินสดและการปรับโครงสร้างทางการเงินต่อเนื่องจากปีก่อน เป็นผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 2,856 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 1,215 ล้านบาท

ในปี 60 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว รวมจำนวน 979 ล้านบาท และรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์และเครื่องบิน จำนวน 3,191 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 1,581 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อย ขาดทุนสุทธิ 2,072 ล้านบาท โดยเป็นขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 2,107 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.97 บาท ในขณะที่ปีก่อนมีกำไร 0.01 บาท

ณ วันที่ 31 ธ.ค.60 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 280,775 ล้านบาท ลดลงจากวันที่ 31 ธ.ค.59 จำนวน 2,349 ล้านบาท หรือลดลง 0.8% หนี้สินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อย เท่ากับ 248,762 ล้านบาท ลดลง 774 ล้านบาท หรือลดลง 0.3% และส่วนของผู้ถือหุ้น มีจำนวน 32,013 ล้านบาท ลดลง 1,575 ล้านบาท หรือลดลง 4.7% สาเหตุหลักเกิดจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานของบริษัทฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ