ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้ม GRAND ที่ "BB+/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 2, 2018 14:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) ที่ระดับ "BB+"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ตลอดจนการมีความสัมพันธ์กับแบรนด์โรงแรมที่ประสบความสำเร็จ และโรงแรมของบริษัทที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนจากการที่บริษัทต้องพึ่งพิงรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพียงไม่กี่แห่ง ตลอดจนการมีค่าใช้จ่ายในการบริหารที่อยู่ในระดับสูง และแผนการลงทุนเชิงรุก โดยการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่มีการแข่งขันสูงและอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมถึงความผันผวนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ด้วย

ทั้งนี้ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค (PF) และบริษัทที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ถือหุ้นหลักและเป็นผู้กำหนดทิศทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ดังนั้น อันดับเครดิตของบริษัทและ PF จึงมีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก ปัจจุบันทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ PF ที่ระดับ "BB+" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่"

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต โรงแรมของบริษัทตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและบริหารโดยเครือข่ายโรงแรมระดับสากล โรงแรมของบริษัทตั้งอยู่ในทำเลที่ดี เช่น ย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ และแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม กลยุทธ์ของบริษัทคือการก่อสร้างโรงแรมและจ้างเครือข่ายโรงแรมระดับสากล (International Hotel Chain) ให้เป็นผู้บริหารและดำเนินงาน โรงแรมของบริษัทมีผลประกอบการทางการเงินที่น่าพอใจและมีการดำเนินงานที่ราบรื่นเนื่องจากการมีเครือข่ายโรงแรมระดับสากลนำมาซึ่งแบรนด์โรงแรมที่แข็งแกร่ง รวมทั้งมีระบบการบริหารโรงแรมที่ได้รับการยอมรับ และมีช่องทางในการทำการตลาดที่เข้มแข็ง ในการนี้ บริษัทจะจ่ายค่าธรรมเนียมในการบริหารงานให้แก่เครือข่ายฯ ดังกล่าวเป็นการตอบแทน

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ขยายตัวช่วยให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี ในปี 2560 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเพิ่มสู่ระดับ 8.5% หรือ 35.38 ล้านคน ซึ่งธุรกิจโรงแรมได้รับประโยชน์โดยตรงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ดังนั้น ธุรกิจโรงแรมของบริษัทจึงมีผลการดำเนินงานที่ดี โดยรายได้ค่าห้องพักเฉลี่ยต่อจำนวนห้องทั้งหมดของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 3,204 บาทต่อคืนในปี 2559 เป็น 3,260 บาทต่อคืนในปี 2560

เนื่องจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว นันทนาการ และการพักผ่อนวันหยุดแห่งหนึ่งของโลก ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าแนวโน้มของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยจะยังคงดีอยู่ โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นในระหว่าง 5%-10% ในปี 2561 พึ่งพิงรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพียงไม่กี่แห่ง

กระแสเงินสดของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการดำเนินธุรกิจโรงแรม โดยในอดีตนั้นกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายกว่า 90% ของธุรกิจโรงแรมของบริษัทมาจากโรงแรม 2 แห่งคือโรงแรม เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท และโรงแรมเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา

อย่างไรก็ตาม ในปี 2560 สถานการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนไปเมื่อบริษัทได้มีการจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แกรนด์ โฮสพีทาลิตี้ (GAHREIT) โดยบริษัทได้จำหน่ายโรงแรมเชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปาให้แก่ทรัสต์ฯ ดังกล่าวในปลายปี 2560 ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป็นผู้ดำเนินงานโรงแรมอยู่เช่นเดิมหลังจากบริษัทได้เช่าโรงแรมกลับคืนจากทรัสต์ฯ และชำระค่าเช่ารายปีในอัตราคงที่ให้แก่ทรัสต์ฯ โดยค่าเช่าโรงแรมมีมูลค่าเกือบเท่ากับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานทั้งหมดของโรงแรม

บริษัทมีแผนจะเพิ่มโรงแรมอีก 3 แห่ง โดยปัจจุบันบริษัทกำลังก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่บนถนนสุขุมวิทคือโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท ซึ่งมีแผนจะเปิดดำเนินการในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 บริษัทยังอยู่ในกระบวนการซื้อกิจการของ บริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน โฮเท็ล แอนด์ ทาวเวอร์สซึ่งเป็นโรงแรมชั้นดีที่มีจำนวนห้องพัก 726 ห้อง การซื้อกิจการดังกล่าวต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 3,600 ล้านบาทและคาดว่าการทำธุรกรรมจะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ส่วนลำดับท้ายนั้นบริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมในจังหวัดระยองซึ่งประกอบด้วยโรงแรมชั้นดี 1 แห่งซึ่งมีจำนวนห้องพัก 205 ห้อง คอนโดมิเนียมจำนวน 282 ห้อง 1 แห่ง และบ้านพักตากอากาศ 61 หลัง โดยโรงแรมในจังหวัดระยองคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงปลายปี 2563

แผนการกระจายการลงทุนของบริษัทจะช่วยลดความผันผวนลงหากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวชะลอตัว การที่บริษัทมีโรงแรมหลายแห่งซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่แตกต่างกันไปจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากความเสี่ยงจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะมีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทลงได้

โครงการคอนโดมิเนียมช่วยให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้น ในปี 2560 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นถึง 274% หรือคิดเป็น 1,196 ล้านบาทหลังจากการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมเดอะ ไฮด์ สุขุมวิท 11 แล้วเสร็จและมีการโอนห้องพักบางส่วนให้แก่ลูกค้าแล้ว บริษัทคาดว่าจะจำหน่ายและโอนห้องพักในส่วนที่เหลือได้ภายในช่วง 2 ปีข้างหน้าเพื่อให้มีรายได้ที่ราบรื่นและสม่ำเสมอ รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยมีความผันผวนมากเนื่องจากบริษัทมีการเปิดโครงการไม่บ่อยนัก ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายบริหารของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยเป็นปัจจัยกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทโดยเฉพาะในช่วงที่ไม่มีโครงการที่พร้อมจะโอนให้แก่ลูกค้า

ในอนาคตกลยุทธ์ของบริษัทจะมุ่งเน้นที่การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับราคาสูงในย่านที่ดีของกรุงเทพฯ โดยบริษัทได้ร่วมมือกับผู้ร่วมทุนได้แก่ Sumitomo Forestry และบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมบนถนนสุขุมวิท โครงการมีมูลค่าประมาณ 5,800 ล้านบาทและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 บริษัทยังได้ประโยชน์จากการผสานประโยชน์กับบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคในด้านการประหยัดต้นทุนผ่านการจัดซื้อวัสดุก่อสร้างและการทำการตลาดร่วมกันอีกด้วย

ภาระหนี้คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 4,565 ล้านบาทในปี 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับ 3,813 ล้านบาทในปี 2559 โดยภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการลงทุนในโรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิทและโครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไฮด์ สุขุมวิท 11 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 57.3% ในปี 2559 เป็น 61.5% ในปี 2560 ในช่วงปี 2561-2563 บริษัทมีแผนลงทุนจำนวนทั้งสิ้น 9,500 ล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่เพื่อใช้สำหรับ 3 โครงการหลักซึ่งได้แก่การซื้อกิจการของบริษัทโรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) การปรับปรุงโรงแรม เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท และการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมในจังหวัดระยอง ซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนถึงระดับ 70% ในปี 2563

เงินสดและวงเงินสินเชื่อเพียงพอต่อภาระหนี้ที่จะครบกำหนด แต่ยังต้องการเงินทุนเพิ่มสำหรับแผนการขยายธุรกิจ สภาพคล่องของบริษัทค่อนข้างอ่อนตัว บริษัทมีแหล่งเงินทุนซึ่งประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 1,412 ล้านบาทและวงเงินสินเชื่ออีกจำนวน 950 ล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2560 ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนทั้งหมดดังกล่าวคาดว่าจะเพียงพอต่อภาระการชำระหนี้ของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าซึ่งประกอบด้วยหนี้ระยะยาวประมาณ 1,204 ล้านบาทและหนี้ระยะสั้นจำนวน 399 ล้านบาท

ในขณะที่บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอในการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดใน 12 เดือนข้างหน้า บริษัทยังมีแผนในการลงทุนอีกประมาณ 5,000 ล้านบาทอีกด้วย ดังนั้น บริษัทจำเป็นจะต้องกู้ยืมเงินเพิ่มเพื่อใช้ในการลงทุน ทั้งนี้ บริษัทยังมีทางเลือก 2 ทางในการหาแหล่งเงินทุน คือ การออกหุ้นใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมหรือการขายโรงแรมปัจจุบันแก่ GAHREIT

ตามข้อกำหนดทางการเงินที่สำคัญของเงินกู้ยืมจากธนาคารของบริษัทระบุให้บริษัทต้องมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนได้ไม่เกินกว่าระดับ 2.5 เท่า โดย ณ สิ้นปี 2560 อัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทอยู่ที่ 1.6 เท่า ดังนั้น จึงถือว่าบริษัทยังคงปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินได้ในช่วง 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้า

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าผลประกอบการของธุรกิจโรงแรมจะยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยแล้วเสร็จตามกำหนดและโอนให้แก่ลูกค้าได้ตามแผน ภายใต้สมมุติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 4,500 ล้านบาทในปี 2563 ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2561-2563 อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับเกินกว่า 20% โดยคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมจะอยู่ที่ประมาณ 6% และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 2 เท่า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทยังไม่มีในระยะใกล้เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนจำนวนมาก ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนตัวลงอย่างมาก หรือภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงกว่าที่ได้ประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ หากอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคมีการเปลี่ยนแปลงก็อาจส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ