โบรกฯยังมอง SET ปีนี้ไปได้เหนือ 1,800 จุดแม้จีน-สหรัฐฯขัดแย้งการค้า เหตุ ศก.ในประเทศ-กำไร บจ.ยังโตดี

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 10, 2018 18:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ยังมองดัชนีหุ้นไทยในทิศทางที่ดี แม้มีประเด็นความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนก็ตาม เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อไทยค่อนข้างจำกัด และเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะยังมีความประนีประนอมระหว่างกัน อีกทั้งไทยมีประเด็นบวกจากเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดี และกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ยังเติบโต รวมถึงการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ยังเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ทำให้มองดัชนี SET น่าจะยังยืนเหนือระดับ 1,800 จุดได้ในปีนี้ ขณะที่โบรกเกอร์บางรายปรับลดเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยลงต่ำกว่า 1,800 จุดจากความกังวลผลกระทบความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐและจีน รวมถึงการแข่งขันลดค่าธรรมเนียมผ่านช่องทางดิจิทัลของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ด้วย

นายเกียรติศักดิ์ เจนวิภากุล กรรมการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และกรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวในงาน"ทิศทางหุ้นไทยภายใต้สงครามการค้าโลก สงครามธุรกิจธนาคารไทย"ว่า บริษัทยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,900 จุด เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นปรับตัวมีทิศทางที่ดี ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยบวกจาก EEC ซึ่งจะผลักดันให้ตลาดเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงยังมีประเด็นการเลือกตั้งภายในประเทศที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเข้ามาเป็นปัจจัยหนุนด้วย โดยมองว่า Sentiment ของตลาดหุ้นจะเปลี่ยนเป็นบวกได้ในครึ่งหลังปีนี้

ขณะที่ช่วงที่ผ่านมาภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในช่วงขาขึ้นและเริ่มมีการตอบรับมาตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ แต่ในช่วงสั้นสำหรับตลาดหุ้นไทย ประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะเข้ามามีผลกระทบค่อนข้างมาก แต่เชื่อว่าในอนาคตทั้งสองประเทศจะมีการเจรจาและหาทางออกได้ โดยเมื่อมีสงครามการค้าเกิดขึ้น สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นตามมาคือภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากมีโอกาสที่ราคาสินค้าในสหรัฐฯจะปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก เพราะการหาคู่ค้าที่จะมาทดแทนคู่ค้ารายใหญ่อย่างจีนเป็นไปได้ยาก ส่วนจีนเองก็จะได้รับผลกระทบในเชิงเดียวกัน

"เมื่อเกิดกลไกตลาดขึ้นมา ราคาสินค้าจะวิ่งไปหาต้นทุนที่ต่ำที่สุด ซึ่งถ้าเราไป disrupt ตรงนี้จะทำให้เกิดผลลบอย่างมาก แต่สุดท้ายในทางปฏิบัติคิดว่าน่าจะเกิดการเจรจากันและออกมาในรูปแบบที่ทำให้ทุกคน win-win"นายเกียรติศักดิ์ กล่าว

นายเกียรติศักดิ์ เห็นว่า มาตรการตอบโต้จากจีนที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ จะส่งผลดีต่อหุ้นบางกลุ่ม อาทิ CPF และ GFPT จะได้รับผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงมา และ IVL ที่มีฐานการผลิตในสหรัฐฯ ส่วนบริษัทที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เช่น TUF, HANA, DELTA, KCE เนื่องจากมีการส่งออกเป็นหลัก

ด้านนางสาวมยุรี โชวิกรานต์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนและรองกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยในช่วงไตรมาสที่ 2-3/61 จะเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway ในระดับ 1,720-1,730 จุด และสูงสุดทั้งปีที่ 1,800-1,820 จุด โดยเชื่อว่าภาคการส่งออกที่ดีขึ้นจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตต่อไปได้นอกเหนือจากภาคการท่องเที่ยว และคาดว่ากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) จะเติบโตเฉลี่ย 11-12% ภายใต้การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่คาดว่าจะเติบโต 4.3%

อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาดูท่าทีระหว่างจีนและสหรัฐฯต่อประเด็นความขัดแย้งทางการค้า โดยเชื่อว่าจะเกิดความประนีประนอมกันมากขึ้น หลังต่างฝ่ายต่างมีวาทะกรรมทางการเมืองออกมาอย่างต่อเนื่อง มองว่าสหรัฐฯเพียงต้องการแสดงศักยภาพในการเป็นผู้กำหนดทิศทางในการค้าระหว่างประเทศ รวมไปถึงการค้าโลกเท่านั้น

"ขณะที่เมื่อมีสงครามการค้าเกิดขึ้น จะส่งผลเสียต่อภาพรวมของตลาดโลก และเชื่อว่าสุดท้ายจะไม่มีใครชนะเกมนี้"นางสาวมยุรี กล่าว

นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน และรองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า บริษัทปรับลดเป้าดัชนีหุ้นไทยปีนี้เหลือ 1,790 จุด จากเดิมประเมินไว้ที่ 1,850 จุด โดยคาดว่ากำไรรวมบริษัทจดทะเบียนจะลดลงเหลือเติบโต 7% จากเดิมคาดโต 14% จากกำไรกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นค่อนข้างมาก ที่คาดว่าจะลดลงเหลือเติบโต 8% จากเดิมคาดโต 14% เป็นผลจากการที่ธนาคารพาณิชย์ปรับลดค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่าน Mobile banking และ Internet banking ประกอบกับหากมีสงครามการค้าสหรัฐฯและจีนที่ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวด้วย โดยคาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,700-1,790 จุด แต่อาจไม่สามารถยืนได้เหนือ 1,800 จุด

ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตอบรับการที่สหรัฐฯประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ซึ่งต้องรอการประกาศเพิ่มเติมจากจีนว่าจะมีท่าทีตอบโต้อย่างไร เพราะหากจีนสามารถส่งออกสินค้าได้ลดลง จะทำให้ขาดดุลการค้า ส่งผลกระทบต่อเงินหยวนให้อ่อนค่าลง ก็จะกระทบต่อเงินบาทด้วย อย่างไรก็ตามความขัดแย้งดังกล่าวก็จะทำให้มีการเปิดการค้าเสรีมากขึ้น ซึ่งไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากดุลการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แต่ทั้งนี้ต้องดูว่าอุตสาหกรรมใดบ้างที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯราว 11% และจีน 15% จากสัดส่วนการส่งออกทั้งหมด

ทั้งนี้ คาดว่าไทยจะได้รับผลกระทบต่อสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องซักผ้า และแผงโซลาร์เซลล์ ส่วนสินค้ากลุ่มเหล็กและอลูมิเนียมจะได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีสัดส่วนการส่งออกเพียง 1%


แท็ก หุ้นไทย   สหรัฐ   SET  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ