ทริส คงอันดับเครดิตองค์กร-จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ 3 พันลบ.ของ WHA ที่ "A-" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 19, 2018 12:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ที่ระดับ "A-" ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-"ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปลงทุนตามแผนงานและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจพัฒนาคลังสินค้าและการเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของประเทศ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงฐานรายได้ประจำจำนวนมากที่บริษัทได้รับจากสินทรัพย์ให้เช่า รวมทั้งจากธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค และจากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากความผันผวนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในขณะที่การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ด้วย

รายได้ของบริษัทลดลงมากในปี 2560 โดยรายได้รวมเท่ากับ 9,514 ล้านบาทเมื่อเทียบกับ 17,855 ล้านบาทในปี 2559 และ 11,437 ล้านบาทในปี 2558 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของการขายสินทรัพย์ ในปี 2560 บริษัทและบริษัทย่อยขายสินทรัพย์และรับรู้รายได้เพียง 3,079 ล้านบาท เทียบกับระดับ 11,737 ล้านบาทในปี 2559 และ 4,502 ล้านบาท ในปี 2558 นอกจากนี้ รายได้ค่าเช่าในปี 2560 ลดลง เนื่องจากบริษัทขายสินทรัพย์จำนวนมากในปีก่อนหน้า

หากไม่รวมผลกระทบจากการลดลงของการขายสินทรัพย์จะพบว่ารายได้จากการโอนที่ดินของบริษัทเพิ่มขึ้นมากในปี 2560 รวมทั้งรายได้จากบริการสาธารณูปโภคยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทมีรายได้จากการโอนที่ดินเพิ่มขึ้น 32.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 3,211 ล้านบาทในปี 2560 ในขณะที่รายได้ประจำจากบริการสาธารณูปโภคเติบโต 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 2,075 ล้านบาทในปี 2560

นอกจากนี้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 31.1% ในปี 2559 มาอยู่ที่ระดับ 34.8% ในปี 2560 อัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาขายที่ดินที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนการจำหน่ายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและน้ำดิบ

แม้ว่าอัตรากำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่รายได้ที่ลดลงมากส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลง 22.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยอยู่ที่ระดับ 5,396 ล้านบาทในปี 2560 เงินทุนจากการดำเนินงานลดลง 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยอยู่ที่ระดับ 3,126 ล้านบาทในปี 2560 บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่ดีขึ้นภายหลังจากที่การลดหนี้เป็นไปตามแผน

ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 54.7% ณ สิ้นปี 2560 จากระดับ 65.7% ณ สิ้นปี 2559 การลดลงของหนี้เงินกู้ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 9.1% ในปี 2560 เพิ่มขึ้นจากระดับ 8.1% ในปี 2559

ในอนาคตข้างหน้า การลงทุนระยะยาวในประเทศไทยคาดว่าจะยังคงมีแนวโน้มเติบโตที่ดีจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวยไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้งที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของประเทศและการมีระบบสาธารณูปโภคที่ดี นอกจากนี้ ปัจจัยสนับสนุนการลงทุนยังมาจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกซึ่งได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐด้วยการตั้งงบประมาณที่มากขึ้นเพื่อพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานและการที่นักลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีตามนโยบายใหม่จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนอีกด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจคลังสินค้าและนิคมอุตสาหกรรมต่อไป ในขณะที่รายได้ประจำจากธุรกิจบริการสาธารณูปโภค ธุรกิจผลิตไฟฟ้า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ตลอดจนรายได้จากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ จะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนจากยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมให้แก่บริษัทได้

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3,500-4,200 ล้านบาทต่อปีในปี 2560-2562 โดยบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับปานกลางและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% ในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์ฯ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โดยอาจถูกปรับลดลงหากรายได้และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่คาด รวมทั้งการลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้จำนวนมากซึ่งจะส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงและลดทอนความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทก็จะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตได้ด้วยเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นหากกระแสเงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและอย่างมีนัยสำคัญโดยที่บริษัทสามารถปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งไปด้วยพร้อมกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ