บลจ.ทาลิส ตั้งเป้า AUM ปีนี้ทะลุ 1 หมื่นลบ.จากปีก่อน 6,887 ลบ.พร้อมดันเพิ่มเป็น 2 หมื่นลบ.ในปี 63

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 9, 2018 13:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ทาลิส เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) จะเพิ่มเป็น 20,000 ล้านบาท ในปี 63 แบ่งเป็นกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) จำนวน 280 กองทุน มูลค่า 14,000 ล้านบาท และกองทุนรวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท จำนวน 12 กองทุน ภายใต้ลูกค้า 3,000 คน

ส่วนในปีนี้คาดว่า AUM จะอยู่ที่ 10,080 ล้านบาท แบ่งเป็น Private Fund จำนวน 135 กองทุน รวมมูลค่า 7,150 ล้านบาท และกองทุนรวมมูลค่า 2,930 ล้านบาท จำนวน 12 กองทุน ภายใต้ลูกค้า 1,400 คน โดยบริษัทจะเน้นการรักษาฐานลูกค้าเก่า และเพิ่มขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลจะเน้นที่กลุ่มลูกค้า High Net Worth ที่เคยลงทุนในกองทุนหรือหุ้นอยู่แล้ว ทั้งในกลุ่มลูกค้าเดิมที่รู้จักและจากการแนะนำต่อของลูกค้าปัจจุบัน

กองทุนรวมของบริษัทจะเน้นการขายผ่านตัวแทนสนับสนุนฯ (Selling agent) ทั้ง 14 บริษัท และที่ปรึกษาการลงทุนอิสระ (Independent Investment Consultant : IIC) กว่า 20 ราย รวมถึงได้จัดช่องทางการให้บริการแก่ลูกค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง Internet Trading: TalisAM Online Channel และ Mobile Application: Streaming For Fund ซึ่งถือได้ว่าบลจ.ทาลิสเป็นบลจ.แรกที่ให้บริการแก่ลูกค้าผ่าน Streaming for Fund Application

อนึ่ง บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ ณ สิ้นปี 60 รวม 6,887 ล้านบาท แบ่งเป็น Private Fund จำนวน 105 กองทุน มูลค่า 5,408 ล้านบาท และกองทุนรวมมูลค่า 1,479 ล้านบาท จำนวน 11 กองทุน ส่วนใหญ่เป็นกองทุนที่มีนโยบายที่ลงทุนในหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 5,887 ล้านบาท ที่เหลือประมาณ 1,000 กว่าล้านบาทเป็นการลงทุนในตราสารหนี้

นายฉัตรพี กล่าวว่า การเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารมาจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อผู้บริหาร ผู้จัดการกองทุน และผู้ถือหุ้น ซึ่งสามารถตอบโจทย์การลงทุนของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างลงตัว ท่ามกลางรูปแบบการลงทุนที่มีความหลากหลาย อย่างไรก็ตาม ใน 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าได้ดีกว่าเป้าหมาย

ปัจจุบัน บลจ.ทาลิสมีสัดส่วนของมูลค่าทรัพย์สินของ Private Fund และกองทุนรวม คิดเป็น 80:20 ซึ่งกองทุนรวมถือว่าเป็นกองทุนรวมหุ้นไทยที่ครอบคลุมทั้งหุ้นใหญ่ หุ้นกลาง-เล็ก หุ้นปันผล และหุ้นธรรมาภิบาล

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยมองว่าในช่วงปลายปีดัชนีมีโอกาสที่จะกลับไปเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,850-1,900 จุดได้ บนระดับ P/E ที่ 17-18 เท่า โดยปัจจัยหลักที่จะช่วยมาสนับดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่คาดว่าจะเติบโต 8-10% มาที่ 1.1 ล้านล้านบาท จากปีก่อน 1 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 4% โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังคงเป็นแรงหนุนหลัก หลังสัดส่วนการเที่ยวต่อภาพรวมของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นเป็น 18% จากเดิมที่ราว 10% ซึ่งช่วยหนุนให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งมากขึ้น

"ในปีนี้เรายังมีมุมมองเชิงบวกกับตลาดหุ้นไทย ซึ่งยังได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลกที่ช่วยหนุนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งหากว่ามีไตรมาสใดไตรมาสหนึ่งในปีนี้ GDP เติบโต 4.5-5% จะยิ่งเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมของตลาดหุ้นไทยขึ้นไปอีก แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน แต่ก็ยังถือว่ายืนได้ดี เพราะที่ผ่านมาคงได้รับแรงกดดันต่อเนื่องจากทิศทางเงินทุนต่างชาติไหลออกจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่ โดยตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบันมีเงินทุนต่างชาติไหลออกแล้วราว 9 หมื่นล้านบาท แต่ในช่วงปลายปีเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะขึ้นทดสอบที่จุดสูงสุดเดิม และอาจจะขึ้นไปถึงระดับ 1,900 จุดได้จากแรงหนุนของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยที่ยังมีทิศทางที่ดี"นายประภาส กล่าว

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงต้องติดตามคือ การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการเลือกตั้งหากไม่มีการเลื่อนการเลือกตั้ง หรือหากเลื่อนไปในระยะเวลาไม่มากนัก เชื่อว่าจะยังคงเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยให้ประเทศไทยได้รับความสนใจอีกครั้งหากเกิดการเลือกตั้งขึ้น แต่หากมีการเลื่อนเลือกตั้งไปเป็นหลักปี ก็จะส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง

ส่วนปัจจัยในต่างประเทศ ยังต้องติดตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และทิศทางการไหลออกของเงินทุนต่างชาติที่มีโอกาสไหลออกเพิ่มเป็น 1-1.5 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่ราว 9 หมื่นล้านบาท โดยมองกรอบล่างของตลาดหุ้นไทยไว้ที่ 1,600-1,700 จุด ที่ระดับ P/E 15-16 เท่า ถือว่ายังคงเป็นแนวรับที่แข็งแรง

"เรามองว่าเศรษฐกิจไทยและโลกยังมีแนวโน้มเติบโตดี อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงเห็นว่ามูลค่าหุ้นไทยขณะนี้ไม่แพงและยังสามารถลงทุนได้"นายประภาส กล่าว

แท็ก กองทุนรวม  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ