ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ IVL วงเงินไม่เกิน 2 หมื่นลบ.ที่ระดับ "A+"แนวโน้ม "Positive"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 15, 2018 13:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ. อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ที่ระดับ "A+" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ "A-" นอกจากนี้ ยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A+" ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ในการขยายธุรกิจ

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงการเป็นผู้ผลิตชั้นนำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ของบริษัท ตลอดจนความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) รวมถึงการมีฐานการผลิตและฐานลูกค้าที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารของบริษัท รวมทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีที่สำคัญในอุตสาหกรรมด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนซึ่งเป็นลักษณะของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 6.3% (เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน) เป็น 76,143 ล้านบาทจากการมีปริมาณจำหน่ายและราคาขายที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อตันเพิ่มขึ้นจาก 117 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2560 เป็น 148 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2561

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทก็ดีขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นจาก 56.5% ณ สิ้นปี 2559 เป็น 46.9% ณ เดือนมีนาคม 2561 อันเนื่องมาจากการที่บริษัทได้ชำระคืนหนี้เงินกู้ไปประมาณ 10,000 ล้านบาทโดยใช้เงินที่ได้รับจากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิของผู้ถือหุ้นรวมมูลค่าประมาณ 15,500 ล้านบาทในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2560

ในเดือนมีนาคม 2561 บริษัทได้ประกาศการลงทุนจำนวน 2 รายการ โดยรายการแรกเป็นการซื้อโรงงานผลิต Polyethylene Terephthalate (PET) ในประเทศบราซิลจาก M&G จากนั้นบริษัทก็ได้ประกาศการลงนามในสัญญาร่วมทุนเพื่อซื้อโรงงานผลิต Purified Terephthalic Acid (PTA) และ PET แบบครบวงจรในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างจาก M&G และเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 บริษัทประกาศการเข้าซื้อหุ้น 65.7% ใน Avgol Industries 1953 Ltd. (Avgol) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเส้นใย Non-woven สำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น ผ้าอ้อมเด็ก ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ และ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอนามัย

บริษัทมีแผนจะใช้เงินประมาณ 1,054 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (33,700 ล้านบาท) ในปี 2561 และอีกประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (9,600 ล้านบาท) ในช่วงปี 2562-2563 เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงงานในสหรัฐฯ ให้แล้วเสร็จ

การลงทุนในครั้งนี้เป็นไปตามแผนธุรกิจของบริษัทในการขยายห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ โดยโรงงานผลิต PET ในบราซิลมีกำลังการผลิตขนาด 550,000 ตันต่อปีและคาดว่าจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายประมาณ 60-70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ส่วนโรงงานผลิต PTA และ PET แบบครบวงจรในสหรัฐฯ นั้นจะสามารถผลิต PTA ได้ประมาณ 1.3 ล้านตันต่อปีและผลิต PET ได้ประมาณ 1.1 ล้านตันต่อปีเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ ในขณะที่ Avgol มีโรงงาน 6 แห่งตั้งอยู่ใน 3 ทวีป ด้วยกำลังการผลิตรวม 203,000 ตันต่อปี

บริษัทมีแผนการจัดหาเงินลงทุนโดยจะใช้ทั้งส่วนของทุนและเงินกู้โดยแหล่งที่มาของเงินทุนประกอบด้วยเงินจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่จำนวน 20,000 ล้านบาทและเงินเพิ่มทุนที่ได้จากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิ ทั้งนี้ ใบสำคัญแสดงสิทธิบางส่วนมีการใช้สิทธิไปแล้วในช่วงเดือนมกราคม 2561 ทำให้บริษัทมีเงินเพิ่มทุนรวมมูลค่าประมาณ 7,148 ล้านบาท ในขณะที่ใบสำคัญแสดงสิทธิส่วนที่เหลือมูลค่า 8,775 ล้านบาทนั้นสามารถใช้สิทธิได้ภายในเดือนสิงหาคม 2561 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินของบริษัทจะอยู่ในช่วง 50%-55% ในระยะปานกลาง

แนวโน้มอันดับเครดิต "Positive" หรือ "บวก" สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจของบริษัทที่ดีขึ้นอันเป็นผลมาจากความสำเร็จของกลยุทธ์ในการขยายสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง รวมถึงประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากระบบการผลิตที่ครบวงจรและการดำเนินกลยุทธ์ในการกระจายฐานการผลิตและฐานลูกค้าให้หลากหลายยิ่งขึ้นในช่วงปี 2558-2560

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในช่วงประมาณ 20%-25% อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่มีผลลบต่ออันดับเครดิต ได้แก่ ผลประกอบการทางการเงินที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือการซื้อกิจการขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้จนส่งผลทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ