SAMART-W2 ปิดเทรดวันแรกที่ 0.38 บาท มูลค่าซื้อขาย 69.37 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 0.80 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 0.81 บาท และราคาลงต่ำสุด 0.31 บาท
ขณะที่หุ้น SAMART ปิดที่ 7.60 บาท ลดลง 0.55 บาท (-6.75%) มูลค่าซื้อขาย 45.15 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 8.10 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 8.15 บาท และราคาลงต่ำสุด 7.60 บาท
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น (SAMART) ครั้งที่ 2 ใช้ชื่อย่อว่า SAMART-W2 ที่ 0.50 บาท (BSM) อิงราคาหุ้นแม่ที่ 8.15 บาท และความผันผวนของหุ้นที่ 32.9% คิดเป็น All-in Premium ที่ +90% ด้านต้นทุนของ SAMART-W2 อยู่ที่ 1.35 บาท (ราคาหุ้นก่อนขึ้นเครื่องหมายอยู่ที่ 9.20 บาท และราคาหลังขึ้นเครื่องหมายที่ 8.75 บาท และ 3 หุ้นเดิม : 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ) โดยมองว่าด้วยทั้งความผันผวนของหุ้นแม่ที่ต่ำ (Volatility 32.8%) และสถานะของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ Out of The Money มากถึง 46% ทำให้มองว่า SAMART-W2 ยังขาดความน่าสนใจในการลงทุน
อีกทั้งหุ้นแม่ยังมีปัจจัยกดดันจากผลประกอบการที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว จากการดำเนินงานของธุรกิจเดิมที่ลดลงทั้งบมจ.สามารถ ดิจิตอล (SDC) และบมจ.วันทูวันคอนแทคส์ (OTO) ในขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจโรงไฟฟ้า
พร้อมให้กรอบมูลค่าของ SAMART-W2 ไว้ที่ 0.44-0.55 บาท เมื่อราคาหุ้น SAMART เคลื่อนไหวในกรอบ 7.90-8.40 บาท โดยมี Volatility 33% per year
SAMART ดำเนินธุรกิจ 5 สายหลัก คือสายธุรกิจ ICT Solution and Service สายธุรกิจ Digital สายธุรกิจ Call Center สายธุรกิจ Utilities and Transportations และสายธุรกิจ Technology Related Services
SAMART-W2 จำนวนที่ออก 335 ล้านหน่วย จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 3 หุ้นเดิม : 1 หลักทรัพย์แปลงสภาพ อัตราใช้สิทธิ 1 : 1 @ 15 บาท, อายุ 3 ปี โดยสามารถใช้สิทธิได้ทุกวันที่ 16 ของเดือน พ.ค. และ พ.ย. (โดยใช้สิทธิได้ครั้งแรกในวันที่ 16 พ.ย. 2561 และใช้สิทธิครั้งสุดท้ายในวันที่ 17 พ.ค. 2564)