(เพิ่มเติม) SCC มั่นใจศักยภาพแกร่งพร้อมลุยเดี่ยวเดินหน้าปิโตรฯคอมเพล็กซ์เวียดนาม 5.4 พันล้านเหรียญฯ เริ่มก่อสร้าง Q3/61

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 6, 2018 17:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชลณัฐ ญาณารณพ รองผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ เอสซีจี และกรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมิคอลส์ กล่าวว่า เอสซีจีมั่นใจมีศักยภาพแข็งแกร่งที่จะลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในเวียดนาม มูลค่า 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังล่าสุดตัดสินใจจะเข้าถือหุ้นทั้ง 100% ใน Long Son Petrochemicals Co. LTD (LSP) จากเดิมที่เครือเอสซีจีถือหุ้นอยู่ 71% โดยเตรียมก่อสร้างโครงการดังกล่าวในไตรมาส 3/61

ทั้งนี้ การจะเข้าลงทุนเพิ่มในโครงการดังกล่าวจะทำให้มูลค่าลงทุนในส่วนทุนของเอสซีจี เพิ่มขึ้นเป็นราว 7 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ราว 5.34 หมื่นล้านบาท ขณะที่เฉพาะเงินลงทุนในปีนี้สำหรับโครงการดังกล่าวยังคงเป็นไปตามแผนไม่เปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม การที่ราคาหุ้น SCC ที่ปรับตัวลดลงหลังจากที่เอสซีจีได้ประกาศการลงทุนเพิ่มในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์เวียดนามเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้น เชื่อว่าน่าจะเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตปิโตรเคมีที่ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบในการผลิตอย่างเอสซีจีมีต้นทุนสูงขึ้นด้วย นับเป็นการสะท้อนตลาดตามภาวะปกติ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเข้าลงทุนเพิ่มในโครงการแต่อย่างใด

"เราทำคนเดียวไม่คิดว่าเสี่ยงน้อยกว่าเหรอ เอสซีจีทำโปรเจ็คต์ไม่มีความมั่นใจเหรอ ราคาหุ้นที่ลดลงมาไม่น่าจะเกี่ยวกัน ราคาน้ำมันขึ้น ก็กระทบต่อราคาหุ้นปิโตรเคมีที่ใช้แนฟทาเป็นหลัก ก็สะท้อนราคาตลาดเป็นเรื่องปกติ โครงการนี้ใช้เวลาเกือบ 4 ปีครึ่งจะเกิด เขายังไม่ factor in ตอนนี้ เป็นสภาวะปกติตอนนี้ ตอนนี้ราคาน้ำมันก็ลดลงแล้ว ก็โอเค ราคาปิโตรก็ยังดีอยู่"นายชลณัฐ กล่าว

เมื่อสัปดาห์ราคาหุ้น SCC ทำระดับต่ำสุดรอบกว่า 2 ปี มาที่ 444 บาทเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.61 หลังจากได้ประกาศการลงทุนเพิ่มในโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม อย่างไรก็ตามล่าสุด SCC อยู่ที่ 450 บาท ลดลง 8 บาท หรือ 1.75%

อนึ่ง เอสซีจี ประกาศเมื่อวันที่ 28 พ.ค.61 ว่าได้ลงนามในสัญญากับ Vietnam Oil and Gas Group (PetroVietnam) เพื่อซื้อหุ้นสัดส่วน 29% ใน LSP ที่ราคาประมาณ 2.9 พันล้านบาท ส่งผลให้เครือเอสซีจี ถือหุ้นทางอ้อมเพิ่มเป็น 100% ซึ่งการทำธุรกรรมดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปลายเดือน มิ.ย.61 โดย LSP เป็นผู้ดำเนินโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม เป้าหมายจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามแผนในช่วงครึ่งแรกของปี 66

เอสซีจีประกาศลงทุนโครงการดังกล่าวครั้งแรกเมื่อปี 51 โดยเอสซีจีถือหุ้น 71% ร่วมกับ PetroVietnam และ Vinachem เป็นผู้ร่วมทุนจากเวียดนามในสัดส่วน 29% ต่อมาได้ดึงพันธมิตรอย่าง QPI Vietnam (บริษัทย่อยของบริษัท Qatar Petroleum International) เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 25% ขณะที่เอสซีจี ลดสัดส่วนลงทุนเหลือ 46% หลังจากนั้นเมื่อปี 60 เอสซีจีได้ตัดสินใจซื้อหุ้นส่วนของ QPI Vietnam กลับคืนมาหลังจากที่ QPI Vietnam ขอถอนตัว ส่งผลให้ถือหุ้นในระดับเดิมที่ 71% และเมื่อสัปดาห์ก่อนเอสซีจี ก็ตัดสินที่จะซื้อหุ้นในส่วนของ PetroVietnam เข้ามาอีก ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดในโครงการ

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า การเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน LSP เป็น 100% ซึ่งเป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรรายแรกในเวียดนาม มีกำลังการผลิตโอเลฟินส์ 1.6 ล้านตัน/ปี สำหรับผลิตเม็ดพลาสติกชนิด HDPE, LLDPE และ PP เพื่อรองรับความต้องการภายในเวียดนามที่ปัจจุบันสูงถึงปีละ 2.3 ล้านตัน และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในระดับสูง

"เอสซีจีมีโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง โดยมีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/61 ประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาท อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (Leverage ratio) 1.6 เท่า ทั้งยังมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรัดกุม ประกอบกับวัฎจักรของธุรกิจปิโตรเคมีมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 65 เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจได้ว่าเอสซีจีจะมีศักยภาพการแข่งขันในระดับภูมิภาคมากขึ้นในระยะยาว สามารถตอบโจทย์การเติบโตของตลาดโลกในอนาคต"นายรุ่งโรจน์ กล่าว

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้จะเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของเอสซีจีในธุรกิจเคมิคอลส์ในภูมิภาค เนื่องจาก LSP เป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรขนาดใหญ่ระดับ World Scale แห่งแรกของเวียดนามที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูง เพราะใช้เทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่มีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบสูง โดยสามารถเลือกใช้ก๊าซฯในสัดส่วนที่สูงถึง 70% ของวัตถุดิบทั้งหมด จึงทำให้มีต้นทุนวัตถุดิบต่ำกว่าโรงงานปิโตรเคมีส่วนใหญ่ในภูมิภาค และโครงการยังได้รับการสนับสนุนสิทธิประโยชน์การลงทุนจากรัฐบาลเวียดนามอย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีการใช้เทคโนโลยีชั้นนำของโลกเป็นครั้งแรกในประเทศ โดยมีมูลค่าการลงทุนของโครงการรวม 5.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.73 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนที่ได้เปรียบทางการแข่งขัน

นอกจากนี้ เอสซีจียังได้นำนวัตกรรม ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพสูงสุด มีความปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงสร้างทางการเงินของโครงการประกอบด้วยเงินกู้และเงินทุนในอัตราส่วน 60 : 40 ซึ่งเอสซีจีได้เตรียมแหล่งเงินทุนไว้แล้ว และจะเริ่มก่อสร้างโครงการได้ในไตรมาส 3/61

โครงการ LSP ตั้งอยู่ที่เมือง Ba Ria-Vung Tau ห่างจากนครโฮจิมินห์ประมาณ 100 กิโลเมตร โดยโครงการมีการดำเนินงานอย่างเข้มงวดตามมาตรฐานความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมระดับโลก เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนและสังคมของเวียดนามได้อย่างยั่งยืน เช่นเดียวกับการดำเนินกิจการอื่นๆ ในธุรกิจแพคเกจจิ้ง และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างของเอสซีจีที่ผ่านมา ตามความมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในภูมิภาค


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ