"ภากร"ตั้งเป้าดันตลาดหุ้นไทยเทียบเท่าสิงคโปร์ภายในปี 66 หวัง บจ.เข้าใหม่ 40 ราย/ปี มาร์เก็ตแคปเพิ่ม 2.5 แสนลบ./ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 7, 2018 17:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คนใหม่ วางเป้าหมายผลักดันตลาดหลักทรัพย์ไทยให้มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เทียบเท่ากับตลาดหุ้นสิงคโปร์ภายในปี 66 ด้วยการส่งเสริมให้มีบริษัทที่มีคุณภาพเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 40 บริษัท/ปี และมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 2.5 แสนล้านบาท/ปี รวมทั้งมีการระดมทุนในตลาดรอง (Secondary Offering) อีกราว 2.5 แสนล้านบาท/ปี

ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ราว 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์มีมารร์เก็ตแคปอยู่ที่ 8.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

สำหรับบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่จะเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ จะมุ่งเน้นไปที่การเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กมีโอกาสและช่องทางในการระดมทุนเพิ่มขึ้น เช่น ธุรกิจสตาร์ทอัพ และธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นต้น ซึ่งประเทศไทยมีธุรกิจเหล่านี้เป็นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสที่ ตลท.จะเข้าไปเจาะกลุ่มธุรกิจดังกล่าว เพื่อทำให้ธุรกิจขนาดเล็กที่มีคุณภาพเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น เบื้องต้น ตลท.มองแนวทางการแก้ไขกฏระเบียบเพื่อเอื้ออำนวยให้ธุรกิจที่ยังไม่สามารถเข้ามาระดมทุนได้ในขณะนี้ ซึ่ง ตลท.เตรียมเสนอแผนงานต่างๆต่อที่ปะชุมคณะกรรมการ ตลท.ภายในเดือน มิ.ย.นี้

"ผมมีแนวคิดว่าทำอย่างไรที่จะให้ธุรกิจเล็กๆ โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ทอัพสามารถ Raise Fund ได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์ต้องทำให้ตัวเองเป็น One Stop Service ที่มาช่วยในด้านการบริการและแนะนำช่องทางต่างๆ ซึ่งเราต้องมีการสร้าง Platform ขึ้นมา ให้ตอบโจทย์ และแก้ไขกฏระเบียบบางอย่างให้เหมาะสมกับปัจจุบันมากขึ้น และทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อสนับสนุนธุรกิจเล็กๆ ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงิน เสริมศักยภาพและต่อยอดการเติบโตของธุรกิจ โดยที่แผนงานต่างๆผมจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง หลังจากเสนอบอร์ดในเดือนมิ.ย.นี้"นายภากร กล่าว

นอกจากนี้ ตลท.จะกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรในการเชื่อมต่อการทำธุรกิจต่างๆ ร่วมกับผู้ร่วมตลาด โดยการสร้าง Open platform ให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการของ ตลท.ทั้งพันธมิตรในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ซึ่ง ตลท.จะผลักดันให้มีผลิตภัณฑ์ของต่างประเทศให้เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯไทยมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้มีนักลงทุนจากต่างประเทศ และทำให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย โดยมองโอกาสเพิ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) จากต่างประเทศ เป็นต้น

ส่วนการพัฒนาระบบธุรกรรมทางการเงินในการซื้อขายหลักทรัพย์นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการโอนเงินในเฟสที่ 2 ซึ่งเป็นการโอนเงินต่างธนาคาร คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ภายในต้นปี 62 หลังจากเฟส 1 ได้ปรับเปลี่ยนระบบการรับชำระเงินจาก SWIFT มาเป็น TCH และสามารถโอนเงินข้ามระหว่างบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ใช้บัญชีธนาคารเดียวกัน

อีกทั้งเตรียมที่จะปรับปรุงรูปแบบการนำส่งแบบแบบฟอร์ม 56-1 ให้ทุกคนสามารถนำข้อมูลไปใช้งานได้รวดเร็วขึ้นและไม่ต้องผ่านการปรับแก้ที่อาจทำให้ข้อมูลมีการคลาดเคลื่อนและไม่โปร่งใส เพราะปัจจุบันแบบฟอร์ม 56-1 เป็นไฟล์รูปแบบ PDF ทำให้การนำข้อมูลไปใช้ต้องมีการปรับแก้

ด้านการสรรหาบุคลากรใหม่เข้ามาเสริมทัพในทีมบริหาร ตลท.ชุดปัจจุบันนั้น นายภากร กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาบุคลากรที่มีความเหมาะสมในการทำงานด้านต่างๆ โดยที่จะสรรหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในหน้าที่ที่ ตลท.ได้มุ่งเน้นตามพันธกิจและวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ เพื่อเข้ามาเสริมในหน้าที่ต่างๆที่ยังไม่มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญรับผิดชอบ ซึ่งยอมรับว่าโครงสร้างองค์กรของตลท.ในปัจจุบันยังมีทีมงานไม่ครบถ้วน ทำให้ต้องสรรหาบุคลากรเข้ามาเพิ่มเพื่อช่วยพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายภากร ยังกล่าวถึงมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในปีนี้ว่า พื้นฐานของตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา จากปัจจัยต่างๆ ที่ส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ดีขึ้น เช่น การส่งออกที่กลับมาขยายตัวดี การลงทุนโครงการต่างๆของภาครัฐที่ทำให้ภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องขยายตัวขึ้น การบริโภคในประเทศที่เริ่มเห็นการฟื้นตัว หลังจากภาระหนี้ปรับตัวลดลง และการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยกลับมาแข็งแรง

อีกทั้งภาพรวมกำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/61 ยังทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แสดงให้เห็นว่าปัจจัยภายในประเทศไม่มีปัจจัยใดที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทย

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของราคาน้ำมัน ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ การกีดกันทางการค้า และนโยบายของธนาคารกลางในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง ทำให้ส่งผลต่อกระแสเงินทุนไหลเข้า-ออกในตลาดหุ้นไทย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวไม่สามารถควบคุมได้และสร้างความไม่แน่นอน ดังนั้น นักลงทุนควรจะติดตามข้อมูลและสถานการณ์ตลอดเวลา และมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ถูกต้องเพื่อนำมาตัดสินใจในการลงทุน

"ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อว่าความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานในประเทศจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และทางตลาดหลักทรัพย์เองจะพัฒนาการบริการและผลิตภัณฑ์ต่างๆให้เข้ามามากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ"นายภากร กล่าว

พร้อมกันนั้น นายภากร ยังกล่าวถึงอนาคตของสถานีโทรทัศน์ Money Channal ที่ ตลท.ร่วมทุนกับ บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (GRAMMY) หลังจากที่มีกระแสข่าวออกมาว่าทาง GRAMMY จะขายหุ้นออกไปทั้ง 50% ว่า ตลท.อยู่ระหว่างพิจารณารูปแบบการลงทุนในทุกแนวทาง แต่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ