DELTA ตั้งเป้ายอดขายโตเฉลี่ย 5-10% ต่อปีรับผลดีธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์-ชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ EV car

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 14, 2018 15:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวกุลวดี กวยาวงศ์ นักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (DELTA) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายจะเติบโตเฉลี่ย 5-10% ต่อปี โดยจะมาจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เป็นหลัก แบ่งเป็น ซอฟท์แวร์-ฮาร์ดแวร์ สำหรับอุปกรณ์ EV-Chager และการผลิตชิ้นส่วนในธุรกิจพลังงานทั่วไปและพลังงานทางเลือก เป็นต้น

รวมถึงธุรกิจบริหารจัดการพลังงานที่บริษัทคาดว่าในปี 64 สัดส่วนรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการพลังงานจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ 30% จากปีก่อนอยู่ที่ 13% เป็นไปตามความต้องการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และน่าจะส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 25-27% เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง

ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนทั่วไปประจำปีไว้ที่ 40-50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ไม่รวมการเข้าซื้อกิจการ M&A) เพื่อใช้ลงทุนปรับปรุงสิทธิภาพเครื่องจักรและปรับเปลี่ยนไลน์การผลิต โดยปัจจุบันโรงงานผลิตของบริษัทยังสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 20-30%

ส่วนการลงทุนเข้าซื้อกิจการ (M&A) บริษัทมีแผนเข้าซื้อกิจการในธุรกิจซอฟท์แวร์ และผู้เชี่ยวชาญทางด้าน System Integrator ในประเทศอินเดีย เพื่อมารองรับการขยายโรงงานผลิตชิ้นส่วนในอินเดีย และศูนย์วิจัยและพัฒนาที่จะเริ่มเปิดโรงงานผลิตในปี 62 ซึ่งน่าจะทำให้ธุรกิจในประเทศอินเดียมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากที่ผ่านมาธุรกิจในอินเดียมียอดขายเติบโตเฉลี่ย 10-20%

"การเข้าซื้อกิจการในขณะนี้ เราคงไม่ได้ซื้อกิจการที่มีขนาดใหญ่ แต่เราจะซื้อกิจการที่เป็นบริษัทเล็กๆ เพื่อเข้ามาเสริมการเติบโตเท่านั้น โดยการลงทุนก็คงไม่มีนัยสำคัญอะไร เนื่องจากเรายังสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกประมาณ 20-30% และเรายังมีพื้นที่เหลืออีก ในส่วนของโรงงานที่ฉะเชิงเทรา จากพื้นที่ทั้งหมด 80 ไร่ ซึ่งเราใช้ไป 60-70 ไร่ สามารถรองรับกำลังการผลิตไปได้อีก 5-10 ปีข้างหน้า"นางสาวกุลวดี กล่าว

สำหรับการจัดหาแหล่งเงินลงทุนนั้น นางสาวกุลวดี กล่าวว่า บริษัทก็จะพยายามเพิ่มกระแสเงินสดให้อยู่ในระดับ 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นไปตามนโยบายการคงเงินสดเพื่อป้องกันความเสี่ยงของธุรกิจเทคโนโลยี และเพื่อลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีในอนาคต จากปัจจุบันเงินสดในมือปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากนำไปจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น และจ่ายภาษีอากรจากการสู้คดีที่ใช้ระยะเวลานานถึง 10 ปี แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายใน 2 ปีนี้ เงินสดจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับดังกล่าวได้ตามผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ