หยวนต้า เชียร์เข้าซื้อที่ดัชนีฯ 1,600-1,620 จุดหลังตลาดฯปรับฐานเร็ว-แรง ระบุ Block Trade เป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 27, 2018 16:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.มยุรี โชวิกรานต์ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน รองกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวในการสัมมนา"Hot Issue เกาะติดทิศทางลงทุน : ลงทุนยามหุ้นผันผวน กับ Dividend Stock"ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ที่ระดับ 1,600-1,620 จุด เหมาะสมแก่การเข้าซื้อ

เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยยังไม่มีประเด็นน่ากังวล เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดี โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ที่ระดับ 4.4% ขณะที่กรอบเวลาการเลือกตั้งมีความชัดเจนมากขึ้น และกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 10% ขณะที่ P/E อยู่เพียง 14.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 15.2 เท่า

ทั้งนี้ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับฐานเร็วและแรง เกิดจากกระแสเงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่องจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) รวมถึงไทย โดยมีผลมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ MSCI ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาค เพื่อเปิดทางให้หุ้นของจีน หรือ A-Share เข้ามาร่วมในการคำนวนด้วย

ประกอบกับผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ จากเดิมที่ตลาดคาดไว้ 3 ครั้ง โดยครึ่งปีหลังอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลง รวมถึงเงินบาทที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ เรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เริ่มมีการตอบโต้จากสหรัฐฯในการขึ้นภาษีเหล็ก และกำแพงภาษีรถยนต์ ทำให้ตลาดวิตกกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานในภูมิภาคเอเชียที่เป็นฐานการผลิตสำคัญ ทั้งนี้เชื่อว่าประเด็นสงครามการค้าจะสามารถคลี่คลายได้จากการเจรจาร่วมกัน

ปัจจัยที่กดดันตลาดอีกปัจจัยหนึ่ง คือ การทำ Block Trade ของนักลงทุน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมีมูลค่ากว่า 3.8 หมื่นล้านบาท ทำให้อำนาจของนักลงทุนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ตลาดปรับตัวลง นักลงทุนมีการเร่งปิดสถานะในตลาด Single Stock Futures และเพิ่มสถานะ short ในหุ้นขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว

น.ส.มยุรี กล่าวต่อว่า ขณะนี้แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้นจากภาวะตลาดหุ้นไทยที่ปัจจุบันยังไม่เสถียร เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายเบาบาง ทำให้ยังมีแรงเหวี่ยง โดยนักลงทุนต้องหาหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 2/61 จะออกมาดี หรือหุ้นที่มีปันผลดีเพื่อเข้าลงทุน อีกทั้งมองว่ายังเป็นโอกาสดีในการปรับพอร์ตการลงทุนที่สามารถเห็นการฟื้นตัวได้

อีกทั้งยังแนะนำให้เน้นการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ และพิจารณาหุ้นที่มีราคาปรับตัวลดลงมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับตลาดที่มีการปรับตัวลดลงราว 7% แนะหุ้นธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) จากคาดกำไรไตรมาสที่ 2/61 ออกมาดีกว่าทั้ง yoy และ qoq ประกอบกับราคาหุ้นลดลงมากว่า 20% โดยคาดว่ามีปันผล 4% ในงวดนี้ ประกอบกับทิศทางครึ่งปีหลังเติบโตดีจากได้รับค่าที่ปรึกษาจากกองทุน Thailand Future Fund และโอสถสภา ไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท

หุ้น บมจ.พีทีที โกบอล เคมิคอล (PTTGC) จากได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และส่วนต่างราคาปิโตรเลียมและน้ำมันอยู่ในระดับสูง อีกทั้งราคาหุ้นปรับตัวลดลงกว่า 10% แล้ว โดยมี P/E ที่ระดับต่ำเพียง 8-9 เท่า

และหุ้น บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) จากราคาหุ้นปัจจุบันลดลงกว่า 20% จากต้นปี เห็นแนวโน้มการเติบโตในไตรมาสที่ 2/61 จากกำไรในไตรมาสที่ 1/61 ดี โดยบล.หยวนต้าประเมินกำไรปี 61 เติบโต 20-30% แนะนำให้"ทยอยสะสม"


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ