ASP เล็งลดเป้าดัชนี SET ปีนี้จากเดิม 1,772.48 จุด หลังเงินทุนต่างชาติไหลออกกดดัน ,เกาะติดสงครามการค้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 5, 2018 15:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ในกลุ่มบมจ.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (ASP) กล่าวในงาน "Hot Issue เกาะติดทิศทางลงทุน :สร้างพอร์ตยั่งยืนในช่วงตลาดผันผวน" ว่า บริษัทเตรียมปรับลดเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ โดยจะใช้การคำนวณจากระดับ P/E ใหม่ที่ 15-15.5 เท่า จากเดิมที่ใช้ P/E ระดับ 16 เท่า ที่ระดับดัชนี 1,772.48 จุด หลังในช่วงที่ผ่านมาเงินทุนต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง จากแรงขายที่ออกมาในกลุ่ม TIP ทั้งในประเทศไทย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์

ขณะที่ยังคงประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้จะอยู่ที่ 110.78 บาท/หุ้น เนื่องจากกรณีสงครามการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐฯ จะยังมีผลกระทบไม่มากในปีนี้ เพราะกว่าจะเกิดขึ้นจริงก็น่าจะเป็นช่วงครึ่งหลังปีนี้แล้ว ส่วนในปี 62 จากเดิมที่คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยจะอยู่ที่ 115.89 บาท/หุ้น และมีระดับดัชนีที่ 1,854.23 จุดนั้น หากประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากสงครามทางการค้าที่ระดับ 5% กำไรบริษัทจดทะเบียนจะอยู่ที่ 110.10 บาท/หุ้น และมีระดับดัชนี 1,761.52 จุด แต่ในกรณีที่อาจจะเป็นไปได้มากที่สุด เมื่อประเมินจากวิกฤตซับไพร์ม กำไรบริษัทจดทะเบียนจะลดลงราว 15% มาอยู่ที่ 98.51 บาท/หุ้น โดยจะมีดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 1,576.10 จุด

"ปีนี้เรายังมองกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ราว 110 บาท/หุ้น ซึ่งสงครามทางการค้ายังกระทบไม่มาก แต่ในปีหน้าจะเห็นผลกระทบที่เกิดจากสงครามทางการค้าชัดเจน โดยข้อมูลจากที่เคยเก็บมาในช่วงเกิดวิกฤตทางการเงิน กำไรบริษัทจดทะเบียนจะหายไปราว 30% โดยเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 15% ต่อปี ซึ่งหากคำนวณที่กำไรหายไป 15% ในปี 62 และ P/E ที่ 16 เท่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,570 กว่าจุด แต่จริงๆแล้วจะต้องมีการปรับลดระดับ P/E ลงด้วยเนื่องจากไม่มีเงินทุนต่างชาติแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนไทย ซึ่งเราคงมองที่ P/E ต่ำกว่า 15 เท่า"นางภรณี กล่าว

นางภรณี กล่าวว่า ส่วนทิศทางการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังคงให้ความสำคัญไปกับสงครามทางการค้าเป็นหลัก โดยยังต้องติดตามว่าสหรัฐจะมีการประกาศตัวเลขที่จะตอบโต้ทางการค้าโดยเฉพาะจีนอย่างใด จากที่ประกาศไปรอบแรก 3.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้อาจส่งผลกระทบไปยังคู่ค้าของประเทศจีนด้วย โดยครั้งที่ 2 สหรัฐจะมีการประกาศออกมาอีก 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต้องติดตามว่ามีสินค้าชนิดใดบ้าง และเป้าหมายที่สหรัฐจะประกาศสงครามทางการค้ากับประเทศจีนเป็นมูลค่า 2.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ก็ต้องดูท่าทีว่าจะอ่อนลงหรือไม่ หากไม่มีการอ่อนท่าทีลง ก็จะทำให้ผลกระทบรุนแรงขึ้นและหาจุดจบไม่ได้

ทั้งนี้ ประเทศจีนเองมีการค้าขายกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียอยู่ราว 50% โดยสัดส่วนราว 25% เป็นการค้าขายชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียได้รับผลกระทบด้วย ซึ่งทุก ๆ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีการกีดกันทางการค้านั้น จะทำให้การค้าโลกลดลงราว 9% ซึ่งจะเป็นผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศกำลังพัฒนา ก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง โดยปัจจัยสงครามทางการค้านั้นถึงแม้ว่าจะไม่เกิดขึ้นมากในปีนี้ แต่ด้วยความกังวลที่มีมากจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปก่อน แต่อย่างไรก็ตามหากสหรัฐมีท่าทีที่อ่อนลง และหยุดประกาศสงครามทางการค้าก็จะช่วยให้สามารถประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ชัดเจน

นอกจากนี้ในช่วงดัชนีตลาดหุ้นมีความผันผวน ความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างๆทั่วโลก แนะนำว่าให้หาหุ้นที่มีการเติบโตจากเศรษฐกิจในประเทศ และเน้นสินค้าที่มีความจำเป็น เช่น โทรศัพท์มือถือ เนื่องจากกิจกรรมประจำวันของผู้บริโภคส่วนใหญ่จะใช้โทรศัพท์ในการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ความบันเทิงต่างๆ หรืออาจจะเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่จะต้องซื้อสินค้าในการอุปโภคบริโภคทุกๆวัน ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มสาธารณูปโภคก็ยังสามารถเติบโตได้

นางภรณี แนะนำเพิ่มเติมว่าให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีมาร์เก็ตแคปตลาดไม่เกิน 2-3 หมื่นล้านบาท และมี P/E อยู่ในระดับที่สูงมากเกินไป หรืออาจจะสูงถึง 40-50 เท่า เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง โดยต้องวิเคราะห์การเติบโตของบริษัทบนพื้นฐานของความเป็นจริง

https://youtu.be/vwJDbtKKVr8


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ