ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร RATCH ที่ "AAA" ด้วยแนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 24, 2018 14:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ที่ระดับ "AAA" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในการเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ รวมถึงการที่บริษัทมีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวและมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงแผนการลงทุนที่ระมัดระวังและสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต บริษัทเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดย ณ เดือนพฤษภาคม 2561 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้า (กำลังการผลิตตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของในแต่ละโรงไฟฟ้า) ที่ดำเนินงานแล้วทั้งสิ้น 6,624 เมกะวัตต์ โดยกำลังการผลิตขนาด 5,866 เมกะวัตต์เชื่อมต่อกับระบบสายส่งไฟฟ้าของไทย (Power Grid)

กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนของบริษัทจะเพิ่มเป็น 7,009 เมกะวัตต์ในปี 2563 เมื่อโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างและพัฒนา เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และกังหันลมในประเทศออสเตรเลียและโครงการเซเปียน เซน้ำน้อยในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) แล้วเสร็จ

กระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ กำลังการผลิตตามสัดส่วนของบริษัทประมาณ 87% มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. (ได้รับอันดับเครดิตระดับ "AAA" จากทริสเรทติ้ง) โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. นั้นมีโครงสร้างราคาไฟฟ้าบนพื้นฐานของความพร้อมจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า ซึ่งโครงสร้างไฟฟ้าลักษณะนี้ช่วยให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่แน่นอนตราบเท่าที่บริษัทดำรงความพร้อมของโรงไฟฟ้าให้เป็นไปตามเป้าหมายของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพื่อจ่ายไฟฟ้าตามคำสั่งของ กฟผ.

โรงไฟฟ้าส่วนใหญ่ของบริษัทบรรลุเป้าหมายความพร้อมจ่ายในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา โดยโรงไฟฟ้า หงสาซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของบริษัทก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการดำเนินงานที่ดีขึ้นหลังจากที่มีการแก้ไขปัญหาด้านเทคนิคในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ สัญญาซื้อขายไฟฟ้ายังมีกลไกในการส่งผ่านภาระต้นทุนเชื้อเพลิงไปยัง กฟผ. อีกด้วย ดังนั้น กระแสเงินสดของบริษัทจึงมีความแน่นอนและคาดการณ์ได้

มีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับ กฟผ. บริษัทมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับ กฟผ. ทั้งในด้านโครงสร้างการถือหุ้นและการดำเนินงานโรงไฟฟ้า กล่าวคือ กฟผ. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทด้วยสัดส่วน 45% นับตั้งแต่บริษัทก่อตั้งในปี 2543 นอกจากนี้ กฟผ. ยังเป็นผู้ให้บริการดำเนินงานโรงไฟฟ้าที่สำคัญของบริษัทภายใต้สัญญาดำเนินงานและซ่อมบำรุง เช่น โรงไฟฟ้าราชบุรี โรงไฟฟ้าหงสา และโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ในขณะเดียวกัน กฟผ. ยังเป็นลูกค้ารายใหญ่ของโรงไฟฟ้าของบริษ้ทที่อยู่ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer -- IPP) และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) อีกด้วย ทั้งนี้ ความแข็งแกร่งทางเครดิตของ กฟผ. ช่วยบรรเทาความเสี่ยงด้านคู่ค้าของบริษัทได้เป็นอย่างดี

กระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ทริสเรทติ้งประมาณการว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 11,000-13,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 แม้ว่ารายได้จากโรงไฟฟ้าราชบุรีจะลดลงตามโครงสร้างของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก็ตาม

รายได้จากการลงทุนในบริษัทร่วมที่ดำเนินงานโรงไฟฟ้าอื่น ๆ จะช่วยชดเชยรายได้ของบริษัทที่ลดลงจากโรงไฟฟ้าราชบุรี บริษัทมีการลงทุนในโรงไฟฟ้าหลายแห่ง เช่น โรงไฟฟ้าหงสา โรงไฟฟ้าเซเปียน เซน้ำน้อย และโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่น (ความร้อนร่วม) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก เป็นต้น ซึ่งการลงทุนเหล่านี้น่าจะมีส่วนแบ่งกำไรให้แก่บริษัทได้ประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทน่าจะได้รับเงินปันผลจากการลงทุนดังกล่าวประมาณปีละ 2,000-3,000 ล้านบาทในช่วงเดียวกันอีกด้วย

มีภาระหนี้ต่ำ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะรักษาความแข็งแกร่งของโครงสร้างเงินทุนเอาไว้ได้ในช่วงที่มีการลงทุนเพื่อสร้างความเติบโต โดย ณ เดือนมีนาคม 2561 บริษัทมียอดเงินกู้รวม 26,978 ล้านบาทและมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ระดับ 30.0% ถึงแม้ว่าแผนการลงทุนของบริษัทจนถึงปี 2563 ซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและการลงทุนในบริษัทร่วมต่าง ๆ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท แต่โครงสร้างเงินทุนของบริษัทก็ยังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการลงทุนเพิ่มเติมได้อีกประมาณ 10,000 ล้านบาทในช่วงปี 2561-2563

สภาพคล่องมีมากพอ บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอโดยมีแหล่งที่มาของเงินทุนซึ่งประกอบด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดประมาณ 13,200 ล้านบาทและเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 46,200 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2561 ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานในระยะ 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท แหล่งเงินทุนเหล่านี้เพียงพอสำหรับการลงทุนและใช้จ่ายในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ที่ต้องชำระคืนประมาณ 2,400 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและเงินลงทุนในบริษัทร่วมประมาณ 9,000 ล้านบาท

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะได้รับกระแสเงินสดที่แน่นอนจากโรงไฟฟ้าที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว และคาดว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับต่ำกว่า 35% เมื่อพิจารณาจากแผนการเติบโตและการลงทุนของบริษัท

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับลดลงในกรณีที่บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อกิจการขนาดใหญ่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ