SENA เปิดตัวโครงการปีติ เอกมัย มูลค่ากว่า 5 พันลบ.คาดส.ค.-ก.ย.ทำยอดขาย 50%, ปีนี้มั่นใจรายได้รวมเข้าเป้า 6.2 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 9, 2018 14:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการแฟล็กชิพ "ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)" คอนโดมิเนียม Segment ลักชูรี่แห่งแรกภายใต้การร่วมทุนบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด กและเป็นโครงการร่วมทุนที่มีมูลค่าสูงสุดในปีนี้กว่า 5 พันล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านเอกมัย โดยการนำหลักปรัชญาชีวิตจากแนวคิดญี่ปุ่น "IKIGAI (อิคิไก)" เข้ามาใช้ผสมผสานทุกรายละเอียดของงาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Good Living is The New luxury"

ทั้งนี้จากการเปิดการขายไปผ่านช่องทาง Online Booking ไปแล้วในวันที่ 2 ส.ค. ที่ผ่านมา และมีลูกค้าเข้ามาจองซื้อราว 100 ยูนิต และเตรียมที่จะเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 ก.ย.นี้ คาดว่าในช่วง 2 เดือน (ส.ค.-ก.ย. 61) จะสามารถทำยอดขายของโครงการปีติ เอกมัย ได้ 50% และคาดว่าในสิ้นปีนี้จะสามารถทำยอดขายได้ 60-70% ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อโครรงการดังกล่าวเป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย และชาวจีน ฮ่องกง และมาเก๊า โดยทางบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จะเป็นผู้นำโครงการดังกล่าวไปโรดโชว์ให้กับลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง และมาเก๊า

นางสาวเกษรา กล่าวว่า บริษัทมองว่าการพัฒนาโครงการในทำเลย่านเอกมัยปัจจุบันเริ่มมีความท้าทายค่อนข้างมาก เนื่องจากมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่เตรียมจะเปิดตัวอีก 2-3 โครงการ ในทำเลใกล้เคียงกับโครงการปีติ เอกมัย ซึ่งจะทีซัพพลายด์เข้ามาในทำเลเอกมัยอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้การแข่งขันในทำเลย่านเอกมัยสูงขึ้น โดยที่การพัฒนาโครงการจะต้องสร้างความแตกต่างให้ตอบโจทย์กับการอยู่อาศัยของลูกค้ามากที่สุดนอกเหนือจากทำเลแล้ว แต่การออกแบบและการนำสิ่งอำนวยความสะดวกมาเสริมให้กับลูกค้ายังต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน

สำหรับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาเตือนธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ให้วงเงินต่อหลักประกัน (LTV) สูงถึง 90% ของราคาขายนั้น บริษัทมองว่าเป็นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมองเห็นถึงความเสี่ยงของตลาดที่อยู่อาศัยที่มีความร้อนแรงมากในปัจจุบัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำมานาน อีกทั้งการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ให้กับลูกค้าที่กู้ซื้อบ้านในปัจจุบันมีวงเงินที่อยู่ในระดับสูงที่ 90% สูงกว่าการกู้ซื้อบ้านของธนาคารพาณิชย์ในประเทศอื่นๆในเอเชีย เช่น จีน ฮ่องกง และญี่ปุ่น ที่ให้วงเงินสินเชื่อเพียง 70% ของราคาขาย ทำให้ภาพรวมของประชาชนไทยในปัจจุบันมีสัดส่วนหนี้สินต่อครัวเรือนในระดับสูง ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยง

ขณะที่ราคาขายอสังหาริมทรัพย์มีการเพิ่มขึ้นมากมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของไทยนั้นจะเป็นปัจจัยที่เข้ามาช่วยลดความร้อนแรงในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย เพราะต้นทุนดอกเบี้ยทั้งฝั่งผู้ประกอบการและผู้ซื้อเพิ่มขึ้น และคาดว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ได้บ้าง แต่ในเรื่องของราคาที่ดินอาจจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อยู่ จากการลงทุนต่างๆของภาครัฐที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อน

นอกจากนี้บริษัทมีการเตรียมความพร้อมเพื่อจะเข้าไปพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบในทำเลพื้นที่ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีการซื้อที่ดินไปแล้ว 3-4 แปลง เนื้อที่กว่า 10 ไร่ แต่ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการรอการพัฒนาโครงการ เพราะรอควลมชัดเจนของการเดินหน้าลงทุนโครงการต่างๆในพื้นที่ EEC ให้ออกมาชัดเจนก่อน เพราะหากรีบพัฒนาเร็วเกินไปจะมีความเสี่ยงสูง เพราะหากการลงทุนใน EEC ไม่เกิดขึ้นจริงตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ จะส่งผลต่อการขายที่อยู่อาศัยได้

สำหรับในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทจะเปิดขายโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นอีก 3 โครงการ ได้แก่ ในทำเลบางนา ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนที่ 4 มูลค่าโครงการ 2-3 พันล้านบาท ส่วนอีก 2 โครงการ ยังไม่สามารถเปิดเผยทำเลได้ แต่มีที่ดินรองรับแผนพัฒนาแล้วทั้งหมด และจะมีการเปิดโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง 6-7 โครงการ ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.03 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่ทำยอดขายได้แล้วกว่า 5 พันล้านบาท

และรายได้ในปีนี้ยังมั่นใจจะทำได้ตามเป้าหมายที่ 6.2 พันล้านบาท การโอนโครงการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในครึ่งปีหลังของปีนี้จะมีการทยอยโอนโครงการใหม่อีก 8 โครงการ โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ที่ 8 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 63


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ