GL มั่นใจ H2/61 กำไรดีกว่า H1/61 ปรับกลยุทธ์ชะลอปล่อยสินเชื่อบางประเทศหันรุกหนักไมโครไฟแนนซ์ในเมียนมา

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 15, 2018 14:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) เปิดเผยว่า บริษัทยังมั่นใจว่าแนวโน้มของกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและสูงกว่าครึ่งปีแรก จากนโยบายของบริษัทในปัจจุบันที่หันมาเน้นการลดค่าใช้จ่าย และปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในบางประเทศที่มองว่ามีความเสี่ยง เช่น การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศกัมพูชาที่บริษัทได้ชะลอการปล่อยสินเชื่อลงไปมาก เพราะยังไม่มั่นใจสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศกัมพูชาที่จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า ทำให้ชะลอการปล่อยสินเชื่อและเน้นการควบคุมคุณภาพหนี้มากขึ้น

ขณะที่บริษัทหันมารุกตลาดสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ในเมียนมาแทน ซึ่งมีการเติบโตที่สูงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับไม่มีปัญหาด้านหนี้เสียเลย เพราะลูกค้าชาวเมียนมาชำระหนี้ตามกำหนด และการปล่อยสินเชื่อในเมียนมาให้มาร์จิ้นที่สูงกว่าการปล่อยสินเชื่อในประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่บริษัทดำเนินกิจการอยู่ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของกำไรให้กับบริษัท

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากการดำเนินธุรกิจของ GL ยังอยู่ไนประเทศไทยเป็นหลักที่ 62% และเมียนมาเป็นอันดับ 2 ที่ 20% ซึ่งคาดว่าสัดส่วนรายได้จากเมียนมาจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ส่วนที่เหลือเป็นสัดส่วนรายได้จากกัมพูชา 8% ลาว 4% อินโดนีเซีย 4% และสิงคโปร์ 2%

ขณะที่ภาพรวมของการเติบโตของสินเชื่อรวมในปีนี้นั่นบริษัทเปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นการไม่เร่งรีบการเติบโตมากนัก เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศหลักๆ ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ยังมีความเสี่ยงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า โดยเฉพาะประเทศไทยและกัมพูชาที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาให้สินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นไปมาก และไม่ส่งผลกระทบต่อการตั้งสำรองฯที่เพิ่มขึ้นมากดดันกำไรของบริษัท

ดังนั้น ในสิ้นปีนี้ยอดสินเชื่อคงค้างรวมของบริษัทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในช่วง 7-8 พันล้านบาท จากสิ้นไตรมาล 2/61 ที่ 7.88 พันล้านบาท ขณะที่แนวโน้ม NPL ในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทจะพยายามลดให้เหลือไม่เกิน 4% จากปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5% ซึ่งการเพิ่มขึ้นของ NPL ส่วนใหญ่มาจากลูกค้าในประเทศไทยที่ผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้บริษัทต้องเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อทำให้ NPL ในภาพรวมและในประเทศไทยไม่เพิ่มขึ้นไปมากกว่า 5%

"บริษัทเคยให้คำมั่นไว้ว่าปี 61 จะพยายามเพิ่มผลกำไรและเสริมความแข็งแกร่งในด้านการดำเนินงาน เพื่อความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมานั้น บริษัทได้ดำเนินการไปตามทิศทางที่ตั้งใจไว้ และผลกำไรของบริษัทก็เพิ่มขึ้น แม้ว่าขนาดของธุรกิจจะไม่ได้เติบโตมากขึ้นก็ตาม ซึ่งยอมรับว่าในปีนี้เราชะลอการปล่อยสินเชื่อ และไม่เร่งรีบในการเติบโตมาก เพื่อควบคุมคุณภาพหนี้และควบคุมผลการดำเนินงานของบริษัทให้สามารถเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกไปจนถึงครึ่งปีแรกของปี 62 และช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 เราก็จะกลับมารุกตลาดใหม่อีกครั้ง"นายทัตซึยะ กล่าว

ด้านกรณีคดีฟ้องร้องของเจ ทรัสต์ ที่ฟ้อง GL ในคดีแพ่ง ข้อหาละเมิด บอกล้างโมฆียกรรม และเรียกค่าเสียหาย เพื่อเรียกร้องให้จำเลยทั้งหมดชำระเงินค่าเสียหาย มูลค่าคดี 8 พันล้านบาท ล่าสุดบริษัทเตรียมจะเข้าให้ข้อมูลกับศาลในวันที่ 24 ส.ค.นี้ เบื้องต้นบริษัทคาดว่าคดีนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปีถึง 1 ปีครึ่งที่จะได้ผลตัดสินออกมา

ส่วนประเด็นหนี้ในกลุ่มไซปรัสและสิงคโปร์ ขณะนี้ได้ยกเลิกสัญญาเงินกู้ และดำเนินการเรียกให้ชำระหนี้คืนไปแล้ว โดยมูลค่าหนี้รวม 2 พันล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามหนี้ และหนี้ดังกล่าวบริษัทได้ตั้งสำรองฯไปแล้ว 100% และมีมูลค่าหลักประกันมากกว่า 100% โดยบริษัทมั่นใจว่าจะได้รับเงินคืนทั้งหมดจากลูกหนี้ แต่ยังไม่สามารถระบุระยะเวลาได้แน่ชัด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ