SHREIT ศึกษาเข้าซื้อโรงแรมในเวียดนามเพิ่มอีก 2-3 แห่ง คาดสรุปปี 62, ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ 100-150 ล้านดอลล์/ปี

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday August 23, 2018 14:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวลท์เตอร์ส จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่าสตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้ (SHREIT) เปิดเผยว่า กองทรัสต์อยู่ระหว่างการศึกษาเข้าซื้อโรงแรมในประเทศเวียดนามเพิ่มอีก 2-3 แห่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 62

สำหรับความสนใจเข้าลงทุนในประเทศเวียดนาม เนื่องจากเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นมาก และมีนักลงทุนต่างๆเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามเป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีการเติบโตของการท่องเที่ยวในประเทศเวียดนามที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศเวียดนามมีความน่าสนใจมากในการเข้าลงทุน โดยที่ปัจจุบันกองทรัสต์มีสินทรัพย์ที่เป็นโรงแรมในเวียดนามอยู่แล้ว 2 แห่ง ตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกอง และการใช้บริการของลูกค้าและนักท่องเที่ยวที่ดีต่อเนื่อง

กองทรัสต์ SHREIT ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ทุกปีเฉลี่ย 100-150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเน้นการลงทุนในโรงแรมประเภท City hotel และ Resort hotel ในอาเซียนเป็นหลัก ซึ่งการลงทุนในธุรกิจโรงแรมในอาเซียนยังมีโอกาสที่เติบโตขึ้นได้ต่อเนื่อง จากการที่มีนักท่องเที่ยวในทวีปต่างๆสนใจเดินทางเข้ามา และการลงทุนในสินทรัพย์ของกองทรัสต์จะเน้นไปที่กลุ่มของโรงแรมที่มีรูปแบบเฉพาะ และอยู่ในทำเลที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก และมีเชนบริหารโรงแรมที่มีประสบการณ์เข้ามาบริหาร ซึ่งการมีเชนบริหารโรงแรมมีข้อดีที่สามารถใช้เครือข่ายของเชนนั้นดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเข้าพักได้ และมีลูกค้าประจำที่เข้ามาใช้บริการในเชนนั้นๆต่อเนื่อง

ขณะแผนงานในปี 61 วางแผนซื้อสินทรัพย์ 2 รายการเข้ามา คือ โรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และโครงการโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur ประเทศมาเลเซีย มูลค่า 5.8 พันล้านบาท และได้รับอนุมัติจากผู้ถือหน่วยแล้ว โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการเพิ่มทุนกองทรัสต์จำนวนไม่เกิน 415 ล้านหน่วย และเป็นการกู้ยืมเงินอีกราวง62.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.08 พันล้านบาท เพื่อรองรับแผนขยายทรัพย์สินในครั้งนี้ โดยกระบวนการซื้อสินทรัพย์เข้ามาคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 62

หลังจากกระบวนการซื้อสินทรัพย์เสร็จสิ้นจะทำให้มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่ 5 พันล้านบาท และจะขึ้นเป็นกองทรัสต์ที่ลงทุนในธุรกิจโรงแรมที่มีขยาดสินทรัพย์เป็นอันดับ 1 ในประเทศ จากปัจจุบันที่อยู่ที่อันดับ 2 และจะมีจำนวนห้องพักเพิ่มเป็น 1,579 ห้อง จำนวน 5 โรงแรม จากปัจจุบันที่มี 632 ห้อง จำนวน 3 โรงแรม โดยมีโรงแรมในเวียดนาม 2 แห่ง อินโดนีเซีย 2 แห่ง และมาเลเซีย 1 แห่ง

นอกจากนี้ทางกองทรัสต์อยู่ระหว่างการทำเครดิตเรตติ้งจากฟิทซ์ เรทติ้ง เพื่อเพิ่มความสามารถในการกู้ของกองเป็นสัดส่วน 60% จากปัจจุบันที่กองทรัสต์สามารถกู้ได้สูงสุด 35% และมีการกู้ไปแล้วสัดส่วน 32% ของมูลค่ากองทุน เพื่อเป็นการรองรับการลงทุนในอนาคต โดยที่จะระดับที่เหมาะสมในการกู้จะควบคุมให้ไม่เกิน 35-40% ของมูลค่ากองทุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ