BBL ดันสินเชื่อสาขาจีนปีนี้โต 20% สูงกว่าปกติเฉลี่ยโต 5-6%ต่อปีหลังขยายฐานลูกค้าทั้งเก่า-ใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 7, 2018 10:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุวัชชัย ทรงวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงเทพ (ประเทศจีน) เปิดเผยว่า ธนาคารคาดสินเชื่อสาขาจีนปีนี้จะเติบโต 20% จากสิ้นปี 60 ที่อยู่ที่ 1,050 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเติบโตมากกว่าปกติที่เฉลี่ยปีละ 5-6% ขณะที่ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้เติบโตแล้ว 15% จากการขยายฐานลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่ามีการขยายการลงทุนไปยังภูมิภาคเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าหลักของธนาคารฯ ปัจจุบันกระจายไปทุกอุตสาหกรรม โดยมีสัดส่วนลูกค้ามาจากชาวจีน 40% และไทยที่เข้ามาลงทุนในจีน 30% ส่วนที่เหลือจะเป็นลูกค้าเครือข่าย เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น ซึ่งจะเป็นลูกค้านิติบุคคลเกือบทั้งหมด

ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปัจจุบันอยู่ที่ 0.35% ปรับตัวลดลงอย่างมากจากในอดีตที่เคยขึ้นไปแตะระดับ 1% เนื่องจากธนาคารฯ เริ่มหันมาดูแลจัดชั้นหนี้อย่างเข้มงวด

นายสุวัชชัย กล่าวถึงประเด็นสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯและจีนว่า จะไม่กระทบต่อสินเชื่อของสาขาจีนมากนัก เนื่องจากลูกค้ามีสัดส่วนส่งออกสินค้าตามรายชื่อสินค้าที่คิดภาษีเพิ่มค่อนข้างน้อย ซึ่งปัจจุบันธนาคารฯ มีสัดส่วนลูกค้าที่มีรายได้จากในประเทจีนเฉลี่ย 70% ขณะที่มีการส่งออกไปยังต่างประเทศ 30% โดยส่วนใหญ่จะเป็นตลาดยุโรปและอาเซียน

"ในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ก็คงต้องดูต่อไปว่าจะไปอย่างไร หลายสำนักก็บอกว่าเรื่องดังกล่าวก็คงยืดเยื้อ เนื่องจากทางฝั่งสหรัฐก็มีวิธีการบริหารแบบพ่อค้า และทางฝั่งจีนก็คงลงหลังเสือลำบาก เพราะในช่วงปีสองปีที่ผ่านมาการสื่อสารระหว่างภาครัฐกับประชาชน ก็มีการแสดงให้เห็นว่าประเทศมีการพัฒนาไปอยู่ในระดับที่แข็งแรงแล้ว สามารถที่จะเป็นผู้นำในตลาดโลก พร้อมที่จะรับมือกับสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามทางธนาคารฯ ก็ได้มีการศึกษาถึงผลกระทบจากปัจจัยสงครามการค้าดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งผลของการศึกษารายชื่อของสินค้าที่จะถูกขึ้นภาษีนั้น ผลกระทบโดยตรงไม่ค่อยเยอะ เนื่องจากลูกค้าของเราส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นการส่งออก แต่เป็นการเน้นการขายในประเทศเป็นหลัก เนื่องด้วยช่วงหลายปีก่อนลูกค้าที่พึ่งพาการส่งออก เมื่อตลาดโลกมีความผันผวน ลูกค้าก็ได้มีการปรับตัวไปแล้ว"

พร้อมกันนี้มองเศรษฐกิจประเทศจีนในช่วงที่ผ่านมาถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก เห็นได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ลดลงมาที่ 6% จากเดิมที่เคยเติบโต 8-10% แต่มูลค่าทางเศรษฐกิจกลับขยายตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อของจีนถือว่ายังมีการควบคุมได้ดี หรืออยู่ในระดับไม่เกิน 2%

ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรก็ลดลงอย่างต่อเนื่องมาสู่ระดับ 6% เนื่องจากรัฐบาลได้มีการส่งเสริมภาคการผลิตในการผลิตแบบเทคโนโลยีขั้นสูง หรือเน้นผลิตสินค้าไฮเทค ทำให้ภาคการผลิตแบบเดิม หรือสินค้าราคาถูก ได้ย้ายฐานการผลิตไปอยู่ในประเทศอื่นแทน รวมถึงการค้าปลีก พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไป มีการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30%

ขณะเดียวกัน ผลิตผลภาคเกษตรกรรมก็ปรับตัวลดลงจากเคยอยู่ในระดับ 10% ของ GDP มาสู่ระดับกว่า 5% เนื่องจากถูกขับเคลื่อนด้วยภาคการบริการ โดยเฉพาะภาคธนาคาร, ประกันภัย และหลักทรัพย์ ที่ปัจจุบันเติบโตมากขึ้นเป็น 54% ในครึ่งปีแรก จากปี 59 ที่มีอัตราการเติบโตอยู่ราว 41% รวมถึงภาคโลจิสติกส์ก็มีการเติบโตสอดคล้องไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป จากมีการสั่งของผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลทำให้ภาคบริการโดยรวมเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้ภาคการผลิตปรับตัวลงเหลือ 40%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ