ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร PSL ที่ "BBB-" และหุ้นกู้วงเงิน 3.59 พันลบ.ที่ "BB+" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 11, 2018 14:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) ที่ระดับ "BBB-" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ "BB+" อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาวะอุปสงค์และอุปทานของอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง (Dry-bulk Shipping) ที่มีความสมดุลมากขึ้นซึ่งส่งผลให้อัตราค่าระวางเรือฟื้นตัวมาตั้งแต่ปี 2560

ในการประเมินอันดับเครดิต ทริสเรทติ้งยังพิจารณาถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองและความสามารถในการบริหารธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนสูงได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ทริสเรทติ้งเชื่อว่าภาวะสงครามการค้าที่เกิดขึ้นทั่วโลกจะไม่มีผลกระทบในทันทีหรือมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ทางการค้ามีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้นไปกว่านี้ก็อาจทำให้การฟื้นตัวของค่าระวางเรือมีความไม่แน่นอนยิ่งขึ้น

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ภาวะอุปทานที่ดีขึ้นช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรม ทริสเรทติ้งคาดว่าอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาวะอุปทานที่ปรับตัวดีขึ้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาภาวะอุปทานส่วนเกินของอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมมีความผันผวนสูง อย่างไรก็ดี ภาวะอุปทานของเรือในปัจจุบันได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการส่งมอบเรือที่สั่งต่อไว้ไม่เป็นไปตามแผนและประเด็นเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ทางด้านสิ่งแวดล้อมเรื่องการจัดการน้ำถ่วงเรือและการจำกัดปริมาณค่ากำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2561-2562 ซึ่งจะส่งผลเร่งให้มีการปลดระวางเรือมากยิ่งขึ้นสำหรับเรือเก่าและเรือที่ไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ อีกทั้งยังมีผลทำให้เกิดการชะลอการสั่งต่อเรือใหม่เนื่องจากความไม่แน่นอนในเรื่องการออกแบบติดตั้งระบบเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดใหม่ต่าง ๆ ดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าอุปทานของเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะเติบโตที่ระดับเฉลี่ย 2%-3% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

อุปสงค์เติบโตมากกว่าอุปทาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์ของเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะเติบโตในอัตราที่สูงกว่าอุปทานในปี 2561-2562 อุตสาหกรรมนี้พึ่งพาภาวะเศรษฐกิจโลกค่อนข้างสูง ความต้องการด้านสินค้าโภคภัณฑ์ ตลอดจนการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจโลกและการค้ามีความสัมพันธ์กัน ในอดีตปริมาณการค้าของอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองนั้นมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่า GDP (Gross Domestic Product) ของโลกเล็กน้อย กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund -- IMF) คาดว่า GDP ของโลกจะเติบโต 3.9% ในปี 2561-2562 ซึ่งหากการขยายตัวทางการค้าเป็นไปตามรูปแบบในอดีต ปริมาณการค้าของอุตสาหกรรมก็น่าจะเติบโตในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของอุปทานเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองได้

ผลกระทบที่จำกัดจากภาวะสงครามการค้า ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมองว่าภาวะตึงเครียดทางการค้าและการเจรจาด้านภาษีของประเทศต่าง ๆ ที่เพิ่มยิ่งขึ้นจะมีผลกระทบอย่างจำกัดต่ออุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง อย่างน้อยก็ในช่วง 2-3 ไตรมาสหน้า ทั้งนี้ เนื่องจากอุปสงค์ต่อสินค้าโภคภัณฑ์ของประเทศจีน โดยเฉพาะแร่เหล็กและถ่านหินคุณภาพสูงยังคงมีอยู่จากมาตรการควบคุมมลพิษในประเทศจีน ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์อื่น เช่น ธัญพืชที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐอเมริกา นั้นก็จะส่งผลกระทบในด้านการเปลี่ยนเส้นทางการค้า เช่น การค้าถั่วเหลืองระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาก็จะเปลี่ยนไปเป็นระหว่างจีนกับบราซิล ซึ่งจะส่งผลดีในด้านระยะทางการขนส่งสินค้า

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าผลบวกจากภาวะอุปทานที่ปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นจะมีมากกว่าผลกระทบในเชิงลบจากมาตรการกีดกันทางการค้าต่าง ๆ อย่างไรก็ดี หากภาวะตึงเครียดทางการค้ามีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกก็อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศทางการค้าโดยรวมและจะยับยั้งการขยายตัวของ GDP และการค้าโลกจนอาจส่งผลให้อุปสงค์ของเรือสินค้าแห้งเทกองชะลอตัวในที่สุด

ค่าระวางเรือจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งคาดหมายว่าค่าระวางเรือจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในระยะ 12-24 เดือนข้างหน้าโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาวะอุปสงค์และอุปทานที่มีความสมดุลมากขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 10,600-13,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2561-2563 อย่างไรก็ดี ความตึงเครียดในภูมิภาคต่าง ๆ ก็อาจเป็นประเด็นที่ทำให้การฟื้นตัวของอัตราค่าระวางเรือมีความผันผวนได้ด้วยเช่นกัน

ภาวะสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานเริ่มมีสัญญาณที่ดีต่ออุตสาหกรรมมาตั้งแต่ปลายปี 2559 โดยดัชนีค่าระวางเรือบัลติค (Baltic Dry Index -- BDI) ที่ใช้เป็นดัชนีอ้างอิงค่าระวางเรือ (Time Charter Rate -- TC) ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,218 จุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จากระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ค่าเฉลี่ย 673 จุดในปี 2559 ในขณะที่ค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10,886 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จาก 6,476 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในปี 2559 ตามภาวะอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น

สถานะทางการเงินจะปรับตัวดีขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากทั้งค่าระวางเรือที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นรวมทั้งความสามารถในการบริหารต้นทุนของบริษัท ในช่วงปี 2561-2563 สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ระดับ 40-51 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีจากภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 10%-31% ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วจะทยอยลดลงจาก 51% ในปี 2561 เป็น 29% ในปี 2563

หนี้สินของบริษัทที่ลดลงนั้นจะเป็นผลจากการชำระคืนหนี้ตามกำหนด นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมีสมมติฐานว่าบริษัทจะมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดในมือที่ระดับ 68-190 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวจากการที่ในปี 2562 บริษัทมีแผนจะขายเรือออกไป 6 ลำ รวมทั้งคาดว่ากระบวนการเรื่องข้อพิพาทกับอู่ต่อเรือจะสิ้นสุดและบริษัทจะได้รับเงินจากทั้ง 2 กรณีรวม 130-140 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหมายว่าบริษัทจะไม่มีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนในระดับสูงในช่วงเวลาดังกล่าวเนื่องจากบริษัทยังไม่มีแผนในการซื้อเรือใหม่

สำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 8.5% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) และมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับ 51.4%

สภาพคล่องเพียงพอ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับภาระหนี้ในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนอีกประมาณ 12-15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนแหล่งเงินทุนของบริษัทนั้นคาดว่าจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานปีละ 40-48 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอีก 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ เดือนมิถุนายน 2561 นอกจากนี้ สมมติฐานของทริสเรทติ้งยังคาดว่าในปี 2562 บริษัทจะได้รับเงินอีกจำนวน 130-140 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการขายเรือและจากข้อพิพาทที่มีกับอู่ต่อเรือที่จะสิ้นสุดลง

ในขณะนี้บริษัทยังไม่สามารถดำรงเงื่อนไขทางการเงินบางประการให้เป็นไปตามข้อกำหนดได้และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอผ่อนปรน ทริสเรทติ้งจึงคาดหวังว่าบริษัทจะรักษาระดับสภาพคล่องให้เพียงพอในกรณีที่จะต้องชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนด รวมทั้งเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวยด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงภาวะอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองที่ปรับตัวดีขึ้นและความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นตามภาวะของอุตสาหกรรม รวมทั้งบริษัทจะมีการบริหารจัดการสภาวะสภาพคล่องทางการเงินที่ดีต่อไปด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง เครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงในกรณีที่ภาวะอุตสาหกรรมไม่เอื้ออำนวยหรือฐานะการเงินของบริษัทอ่อนตัวกว่าสมมติฐานของทริสเรทติ้งอย่างมากทั้งจากผลดำเนินงานที่แย่ลงหรือภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีผลประกอบการที่ดีกว่าคาดในขณะที่บริษัทยังคงรักษาระดับอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วให้อยู่สูงกว่าระดับ 17%-19% อย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ