SAT คาดกำไรสุทธิปีนี้นิวไฮตามยอดขายเติบโต-เน้นบริหารจัดการต้นทุนแม้รายได้หด, ศึกษาซื้อกิจการชิ้นส่วนยายนยนต์ในปท.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday September 11, 2018 17:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณัฐขจร ญาณภิรัต รองกรรมการผู้อำนวยการ สายการเงิน บัญชี และเทคโนโลยีสารสนเทศ บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT) กล่าวว่า บริษัทมั่นใจกำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยได้รับปัจจัยบวกจากยอดขายชิ้นส่วนยานยนต์ที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามคาดการณ์ว่ายอดผลิตรถยนต์รวมของไทยในปีนี้จะอยู่ที่ 2.1 ล้านคัน หลังจากกำลังซื้อภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันเครื่องจักรกลการเกษตรมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังจากไม่มีปัญหาเกี่ยวกับภัยแล้งและภัยธรรมชาติอื่นๆ ซึ่งในปีนี้คาดจะมียอดผลิตรวมของอุตสาหกรรมที่ 75,000 คัน จากปีก่อนที่ 66,000 คัน

อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่ารายได้จะปรับลดลงจากปีก่อนราว 4-5% หลังจากที่บริษัทได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทลูก คือ บริษัท บางกอกสปริงอินดัสเตรียล จำกัด (BSK) เหลือ 50% ส่งผลให้บริษัทมีรายได้หายไปราว 1,400 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมองหาคำสั่งซื้อใหม่ๆ เข้ามาทดแทนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทได้คำสั่งซื้อเพลาข้างมูลค่า 300 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4/61 ราว 100 ล้านบาท

นายณัฐขจร กล่าวถึงทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังปี 61 คาดว่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากภาพรวมของกำลังซื้อภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่ได้เติบโตมากนักเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังของปี 60 ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้แล้วทำให้ฐานสูง ขณะที่ปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ราว 65% ของกำลังการผลิตรวม

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อที่จะเข้าซื้อกิจการเกี่ยวกับชิ้นส่วนยานยนต์ภายในประเทศ โดยยังคงเน้นในกลุ่มยานยนต์ที่เกี่ยวเนื่องกับปัจจุบัน ประกอบกับมีการศึกษาชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติม แต่ยังต้องรอความชัดเจนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าก่อนว่าจะมีการพัฒนาไปได้รวดเร็วเพียงใด สำหรับแหล่งเงินทุนถือว่ามีเพียงพอ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมือราว 1,000 ล้านบาท

นายณัฐขจร กล่าวว่า ในช่วงปลายปีนี้บริษัทจะไปนำเสนอข้อมูลที่ประเทศสิงคโปร์ ร่วมกับบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เพื่อเป็นการอัพเดทข้อมูลให้กับนักลงทุนในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามปัจจุบันนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศได้ถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 30%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ