(เพิ่มเติม) WICE วางเป้ารายได้บ.ร่วมทุน ETL ปี 62 ที่ 200 ลบ.ก่อนแตุ 1 พันลบ.ในปี 64-66 ,เจรจาพันธมิตรลงทุนโลจิสติกส์เพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 20, 2018 17:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE) กล่าวว่า บริษัทได้ตั้งบริษัทร่วมทุนถือหุ้นใหญ่ 40% ในบริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (ETL) เพื่อให้บริการโลจิสติกส์ขนส่งข้ามแดนระหว่างจีน ฮ่องกง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย ETL จะเริ่มสร้างรายได้ให้ WICE ตั้งแต่เดือน ต.ค.61 เป็นต้นไป และจะรับรู้รายได้เข้าเต็มปีเป็นปีแรก ในปี 62

ทั้งนี้ บริษัทวางเป้ารายได้ปีแรกจาก ETL อยู่ที่ 200 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า (ปี 64-66) รายได้จาก ETL จะเติบโตขึ้นเป็น 1,000 ล้านบาท ด้วยการขยายโครงข่ายเส้นทางการขนส่งข้ามพรมแดนไปยังประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติม ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดไว้ ในอนาคตบริษัทคาดจะ

สำหรับการร่วมทุนจัดตั้ง ETL ในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจครั้งสำคัญของ WICE ในตลาดระดับนานาชาติ ด้วยการให้บริการโลจิสติกส์ขนส่งข้ามพรมแดน (Cross-Border Transport Services) ระหว่างประเทศจีน ฮ่องกงและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในโมเดลเส้นทางการขนส่งข้ามชายแดน (Cross Border) ตามเส้นทาง One Belt One Road ของจีน ที่เป็นจุดเด่นและแรงขับเคลื่อนการค้าสำคัญระหว่างประเทศของจีนในอนาคต พร้อมรองรับการขยายตัวของ E-commerce ในส่วนที่เป็นบริการระหว่างประเทศ โดยบริษัทเตรียมทำการตลาดแนะนำบริการ Cross-Border Transport Services ของ ETL กับกลุ่มลูกค้าเดิม และกลุ่มผู้ประกอบการต่าง ๆ

"การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในครั้งนี้ เป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจของ WICE ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายและยังสร้างประโยชน์ทางธุรกิจให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต พร้อมเปิดโอกาสการเติบโตในตลาดต่างประเทศและกลุ่มประเทศอาเซียน ด้วยศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ จากการมีเครือข่ายเส้นทางที่ครอบคลุมตั้งแต่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ลาว เวียดนาม ไปจนถึงจีน ถือเป็นแต้มต่อทางธุรกิจที่สำคัญ ซึ่งจีนเป็นตลาดขนส่งขนาดใหญ่มีความต้องการด้านงานโลจิสติกส์สูง ทำให้มีโอกาสในการขยายฐานลูกค้า พร้อมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยงานบริการด้านต่างๆ กับกลุ่มลูกค้าหลากหลายประเภท"นายชูเดช กล่าว

นายชูเดช กล่าวอีกว่า ภาพรวมธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะสร้างการเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี และเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,800 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 30% โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายตัวของปริมาณงานบริการทุกประเภท ประกอบด้วย งานบริการนำเข้าส่งออกทางทะเล (Sea Freight) ทางอากาศ (Air Freight) งานบริการพิธีการศุลกากร งานขนส่งในประเทศ และงานบริหารจัดการคลังสินค้า โดยปริมาณงานบริการขนส่ง Air Freight และ Sea Freight มากขึ้นจาก WICE LOGISTICS (Singapore) และ WICE LOGISTICS (Hong Kong) และอานิสงส์จากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ทำให้ได้รับงานบริหารจัดการคลังสินค้าเพิ่มขึ้น จนทำให้บริษัทต้องขยายพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มอีก 9,600 ตารางเมตร (ตร.ม.) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่

ขณะที่ภายหลังบริษัทได้ปรับโครงสร้างภายในองค์กร จากการเปลี่ยนชื่อบริษัทที่ WICE เข้าไปลงทุน เพื่อยกระดับแบรนด์ WICE ให้ก้าวสู่การเป็นผู้นำโลจิสติกส์ในตลาดภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะตลาดจีนที่ถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุด ทำให้ WICE เป็นที่รู้จักมากขึ้น และทำให้การทำงานระหว่างกันของบริษัทในเครือมีความคล่องตัวและเชื่อมโยงเครือข่ายอย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทคาดรายได้ปี 63 จะขึ้นแตะระดับ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปี 62 ที่คาดว่าจะมีรายได้ขยายตัว 25-30% จากปีนี้ เป็นผลมาจากธุรกิจเดิมที่เติบโต และการให้บริการโลจิสติกส์ขนส่งใหม่อย่างการร่วมทุนใน ETL ที่ให้บริการโลจิสติกส์ขนส่งข้ามแดน ซึ่งจะมีรายได้เข้ามาในปี 62 เป็นปีแรกราว 200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10% และจะค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่มีสามารถประกอบธุรกิจในรูปแบบนี้ได้

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากจากขนส่งทางทะเล 50%, รายได้จากขนส่งทางอากาศ 30% และรายได้จากการให้บริการด้านโลจิสติกส์ 20%

นอกจากนี้บริษัทยังใช้กลยุทธ์การขยายกิจการแบบการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ร่วมลงทุน (JV) อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเกี่ยวกับการลงทุนด้านโลจิสติกส์เพิ่มเติมอีก 2-3 ราย โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้อย่างน้อย 1 ราย

"การเติบโตของผลประกอบการบริษัทยังคงเน้นการเติบโตทั้งธุรกิจเดิม และการ JV หรือ M&A อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโคได้ต่อไป"นายชูเดช กล่าว

นายชูเดช กล่าวถึงความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และมีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นอีกว่า ในช่วงไตรมาส 3/61 บริษัทได้ปรับกลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยการแปลงสกุลเงินให้เป็นบาทในทันทีเมื่อได้รับค่าเงินค่าบริการจากลูกค้า จากที่ก่อนหน้านี้ได้เก็บบางส่วน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ