บลจ. ฟิลลิป เปิดกองทุนใหม่ชูธีมลงทุนในเมกะเทรนด์"อีสปอร์ต-วีดีโอเกม-ไซเบอร์ซิเคียวริตี้"กองแรกในไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 24, 2018 10:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายติยะชัย ชอง กรรมการผู้จัดการ บลจ.ฟิลลิป เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ออกกองทุนใหม่คือ กองทุนเปิดฟิลลิปเวิลด์อินโนเวชั่น (PWIN) มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนที่เหลือกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในตราสารทุนที่เกี่ยวข้อง ในช่วงแรกจะพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมอีทีเอฟต่างประเทศ 4 กองทุน ได้แก่ ARK Innovation ETF (ARKK), ETFMG Video Game Tech ETF (GAMR), First Trust NASDAQ Cybersecurity ETF (CIBR) และ ETFMG Prime Cyber Security ETF (HACK) โดยการจัดสัดส่วนการลงทุนจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการลงทุน ตามสภาวะการลงทุนหรือการคาดการณ์สภาวะการลงทุนในแต่ละขณะ ทั้งนี้ กองทุน PWIN ได้เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.-5 ต.ค.61 โดยลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 5,000 บาท

PWIN เป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนต่างประเทศ และ/หรือกองทุนรวมอีทีเอฟต่างประเทศที่เน้นลงทุนในตราสารทุนที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นหลัก โดยกระจายการลงทุนใน 5 ธีมที่เป็นเมกะเทรนด์ ได้แก่ อีสปอร์ต-วีดีโอเกม ไซเบอร์ซิเคียวริตี้ นวัตกรรมอินเตอร์เน็ต นวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมต่างๆ และธุรกิจไบโอเทคโนโลยี

ที่มาของการคัดเลือก 5 ธีมการลงทุนนี้ มาจากการใช้ข้อมูล Big Data มาสนับสนุนเพื่อคัดเลือกธีมการลงทุนที่เป็นเมกะเทรนด์ที่กำลังเติบโตทั่วโลก และแตกต่างจากธีมการลงทุนที่เคยมีมาก่อน เช่น ธุรกิจอีสปอร์ต-วีดีโอเกม ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดและเป็นกระแสไปทั่วโลก ทั้งจำนวนผู้เล่นเกมที่มีหลายพันล้านคน และการเติบโตทางรายได้ของบริษัทผู้ผลิตเกมต่างๆ หรือธุรกิจไซเบอร์ซิเคียวริตี้ ที่เติบโตตามมูลค่าความเสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้องค์กรต่างๆ ทั่วโลก ต้องทุ่มงบประมาณในการสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์เพิ่มขึ้นทุกปี

ทั้งสองธีมการลงทุนนี้ ยังไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ทำให้กองทุน PWIN มีโอกาสสร้างผลตอบแทนตามการเติบโตของธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ กองทุน PWIN ยังมีนโยบายการลงทุนโดยลงทุนทั้ง Value Chain ของธีมการลงทุน คือลงทุนทั้งธุรกิจหลักและธุรกิจที่สนับสนุนสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัวอีกด้วย

"การใช้ข้อมูล Big Data ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์และพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกมาวิเคราะห์ ทำให้เราเห็นเมกะเทรนด์หรือแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงธุรกิจโลกอย่างชัดเจน ทั้งนี้ไม่ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะขึ้นหรือลง การเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ใหญ่จะยังดำเนินต่อไปในระยะยาว การอ่านทิศทางเมกะเทรนด์โลกได้ถูกต้อง และเลือกลงทุนในปัจจัยที่จะผลักดันการเติบโตของแนวโน้มดังกล่าว จะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดยไม่ต้องอ้างอิงสภาวะตลาดหุ้นหรือจังหวะลงทุน เช่น ในปี 2017 มีจำนวนประชากรผู้เล่นเกมออนไลน์ทั่วโลกมากกว่า 2 พันล้านคน และกว่า 46% มีการใช้จ่ายเงินในเกม

อีกทั้งปัจจุบัน เกมออนไลน์ยังถูกพัฒนาเป็นการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตซึ่งกำลังได้รับความนิยมทั่วโลก บางรายการมีเงินรางวัลสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ย่อมทำให้จำนวนผู้เล่นเกมมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งจะทำรายได้มหาศาลให้กับบริษัทผู้ผลิตเกม และสำหรับธุรกิจไซเบอร์ซิเคียวริตี้ ยิ่งประชากรโลกเข้าสู่โลกออนไลน์เติบโตมากเท่าใด โอกาสเกิดภัยไซเบอร์ก็จะสูงตามไปด้วย จะเห็นได้ว่าแต่ละปี มูลค่าความเสียหายจากภัยทางไซเบอร์ก็สูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะในปี 2015 สูงถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีการวิเคราะห์ว่าในปี 2021 มูลค่าความเสียหายอาจสูงถึง 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ย่อมจะส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบไซเบอร์ซิเคียวริตี้มีโอกาสเติบโตมากขึ้นด้วย" นายติยะชัยกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ