โบรกฯเชียร์"ซื้อ"BAY มองแนวโน้มสินเชื่อ H2/61 ขยายตัวแข็งแกร่งหลังใช้กลยุทธ์ด้านราคา,NPL ลด-NIM ขยับขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 1, 2018 15:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์แนะนำ"ซื้อ" หุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) จากแนวโน้มสินเชื่อช่วงครึ่งหลังปีนี้ที่ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องและแข็งแกร่ง จากสินเชื่อในทุกกลุ่ม และการใช้กลยุทธ์ด้านราคาในเชิงรุก หลังจากช่วง 8 เดือนแรกปีนี้สินเชื่อขยายตัวได้สูงถึง 9% ทำให้แนวโน้มทั้งปีนี้สินเชื่ออาจจะขยายตัวได้ตามเป้าหมายของ BAY ที่ 8-10% หรือมากกว่า 9%

นอกจากนี้ BAY ยังทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสินเชื่อบางกลุ่ม ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ปรับเพิ่มขึ้นได้บ้าง อีกทั้งแรงกดดันจากการตั้งสำรองฯยังลดลง หลังคาดว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในช่วงไตรมาส 3/61 จะปรับลงมาที่ 2% หลังจากที่เพิ่มขึ้นไปเกิน 2% เล็กน้อยในช่วงไตรมาส 2/61 ที่ผ่านมา แต่คาดว่าทั้งปีนี้ BAY จะคุม NPL ให้อยู่ไนระดับไม่เกิน 2% ขณะที่การเติบโตของกำไรยังคงเห็นการเติบโตตามประมาณการเดิม

ปิดช่วงเช้าราคาหุ้น BAY อยู่ที่ 40 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 0.33%

          ฟิลลิป (ประเทศไทย)            ซื้อ                          47.50
          ธนชาต                       ซื้อ                          45.00
          ฟินันเซีย ไซรัส                 ซื้อ                          44.60
          หยวนต้า (ประเทศไทย)        ทยอยซื้อ                        44.00
          นักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำ "ทยอยซื้อ" BAY โดยคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 3/61 ยังเห็นการเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/61 และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของสินเชื่อทุกกลุ่ม โดยสินเชื่อที่มีการขยายตัวมากที่สุด คือ สินเชื่อรายย่อย ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อ และบัตรเครดิต ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนส.ค. 61 อยู่ที่ระดับ 9% และคาดว่าการขยายตัวของสินเชื่อจะเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ผลักดันให้สินเชื่อของ BAY ในปีนี้ทำได้ตามเป้าหมายเติบโต 8-10% จากปีที่แล้ว
          อีกทั้งการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในกลุ่มสินเชื่อบางประเภทส่งผลให้ NIM ปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีโอกาสสูงขึ้นกว่าไตรมาส 2/61 ที่ 3.64% ส่งผลบวกต่อทิศทางกำไรในปีนี้ แต่ยังคงประมาณการกำไรในปีนี้ที่เติบโต 7.4% หรืออยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท ส่วนในแง่ของ NPL คาดว่ายังอยู่ในระดับที่ดีไม่เกิน 2.5% จากการควบคุมของธนาคารและการขยายตัวของสินเชื่อที่ทำให้ NPL ลดลง เห็นได้จากในช่วงไตรมาส 2/61 ยอด NPL ลดลงมาที่ 2.3% จากไตรมาส 1/61 ที่ 2.4%
          นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) คาดว่าสินเชื่อของ BAY ในไตรมาส 3/61 และไตรมาส 4/61 จะยังเห็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวของสินเชื่อขนาดใหญ่ที่ส่วนใหญ่ปล่อยให้กลุ่มลูกค้าอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรชาวญี่ปุ่นทั้งของผู้ประกอบการที่อยู่ไนตลาดหลักทรัพย์ฯและนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ
          ส่วนสินเชื่อรายย่อยก็ยังเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 4/61 ที่จะเติบโตอย่างมากในกลุ่มสินเชื่อบ้าน และบัตรเครดิต รวมไปถึงสินเชื่อเช่าซื้อยังเติบโตตามยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าการขยายตัวของสินเชื่อ BAY ในปีนี้มีโอกาสทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8-10% หลังจากที่ 8 เดือนแรกปีนี้สินเชื่อของBAY ขยายตัวไปแล้ว 9.2%
          ด้านแนวโน้มของ NPL ในช่วงไตรมาส 3/61 คาดว่าจะทรงตัวหรือปรับตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อยที่ 2.02% แต่อาจจะปรับลดลงมาอยู่ในระดับไม่เกิน 2% ในช่วงไตรมาส 4/61 ซึ่งเป็นไตรมาสที่มีการขยายตัวของสินเชื่อมาก และคาดว่าการตั้งสำรองฯจะไม่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ครึ่งแรกปีนี้ BAY ได้ตั้งสำรองฯเพิ่มไปมากแล้ว โดยที่ยังคงประมาณการกำไรของ BAY ในปีนี้เติบโต 12.5% จากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท แต่ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 47.50 บาท/หุ้น จากเดิมที่ 47 บาท
          นักวิเคราะห์บล.ธนชาต มองภาพการเติบโตของสินเชื่อยังแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่องทั้งในไตรมาส 3/61 และไตรมาส 4/61 จากการใช้กลยุทธ์ด้านราคาในเชิงรุก ทำให้ธนาคารสามารถขยายสินเชื่อในทุกกลุ่ม โดยกลุ่มสินเชื่อที่เติบโตโดดเด่น ได้แก่ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน ส่วนสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล คาดว่าจะเห็นการเติบโตมากในช่วงไตรมาส 4/61 ซึ่งเป็นช่วงที่ไฮซีซั่นของธุรกิจ
          ขณะเดียวกันสินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อที่ปล่อยให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประประกอบการไทยที่ร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น และเป็นโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าการขยายตัวสินเชื่อในปีนี้จะทำได้ระดับ 9-10%
          ส่วน NPL มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงจากช่วงไตรมาส 2/61 ที่เกิน 2% มาเล็กน้อย ซึ่งการลดลงของ NPL ทำให้ไม่กดดันการตั้งสำรองฯเพิ่มขึ้น หลังจากที่ในครึ่งปีแรก BAY ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นไปมากแล้ว และระดับอัตราส่วนการตั้งสำรองฯต่อหนี้สูญ (Coverage ratio) อยู่ในระดับที่สูงเกือบ 150% ทำให้ไม่มีความจำเป็นมากที่ต้องตั้งสำรองฯเพิ่ม และยังคงประมาณการกำไรของBAY ในปีนี้เติบโต 13%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ