(เพิ่มเติม1) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลก เล็งแรงหนุนจากราคาน้ำมันขึ้น-หุ้น OSP เทรดวันแรกหนุนวอลุ่มโป่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 17, 2018 10:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากที่เมื่อคืนที่ผ่านมาดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นได้มาก จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯออกมาดี ทำให้เป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างบวกกันทั่วหน้ากว่า 1%

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นมา 3 วันติดต่อกัน ซึ่งก็เป็นผลดีต่อตลาดบ้านเรา ประกอบกับวันนี้หุ้นขนาดใหญ่คือ บมจ.โอสถสภา(OSP) เข้ามาเทรดวันนี้วันแรก น่าจะทำให้วอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมน่าจะคึกคัก เป็นบวกต่อตลาดโดยรวม

พร้อมให้แนวรับ 1,690 ถัดไป 1,675-1,680 จุด ส่วนแนวต้าน 1,705-1,710 ถัดไป 1,720 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 ต.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,798.42 จุด พุ่งขึ้น 547.87 จุด (+2.17%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,809.92 จุด เพิ่มขึ้น 59.13 จุด (+2.15%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,645.49 จุด พุ่งขึ้น 214.75 จุด (+2.89%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 257.35 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 27.98 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 67.33 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 24.32 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 43.55 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 4.69 จุด

ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดทำการ เนื่องในเทศกาลชงโหย่ง

  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 ต.ค.61) 1,697.87 จุด เพิ่มขึ้น 1.71 จุด (+0.10%)
  • นักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 2,830.70 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ต.ค.61
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 ต.ค.61) ปิดที่ 71.92 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.2%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 ต.ค.61) ที่ 5.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 32.55 แข็งค่าจากวานนี้ตามสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ ตลาดรอติดตามรายงานประชุม FOMC-จับตากระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย
  • กระทรวงท่องเที่ยวฯ เผยสถิตินักท่องเที่ยวจีน ก.ย. 6.48 แสนคน ติดลบเฉียด 15% รายได้ 3.68 หมื่นล้าน ลดลงกว่า 11% เหตุนักท่องเที่ยวจีนรอความชัดเจนมาตรการปลอดภัย หลังเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต ชะลอการเดินทางก่อนถึงโกลเด้นวีค ขณะ 9 เดือน ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสม 28.54 ล้านคน โต 8.71% เอกชนจี้รัฐเร่งออกมาตรการฟื้นตลาด หวั่นซึมยาวถึงต้นปีหน้า พลิกจับตลาดเที่ยวเองแทนกรุ๊ปทัวร์
  • "อีไอซี-กรุงไทย" ฟันธงเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 4.5% จากปัจจัยหนุน "ส่งออก-ท่องเที่ยว" ส่วนปีหน้าแม้แนวโน้มโตชะลอ แต่การขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นจากอุปสงค์ในประเทศทั้ง "บริโภค-ลงทุน" เริ่มฟื้นแนะจับตาผลกระทบเงินทุนเคลื่อนย้ายกลุ่มตลาดเกิดใหม่ มั่นใจเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งรับมือได้
  • ท่าอากาศยานไทยเร่งแก้ข้อพิพาทก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ยันเป็นไปตามคำแนะนำ ICAO
  • 2 แบงก์ประสานเสียงลด จีดีพีปี 2562 ลง ไทยพาณิชย์ให้ 4% ด้านกรุงไทยคาดว่าปีหน้าโต 4.3%
  • "รฟม.-กทม." ทำความเข้าใจโอนหนี้สายสีเขียวลงตัว คาดชงครม.พ.ย.เซ็น MOU ก่อนเปิดเดินรถ 5 ธ.ค. 61 ขณะที่ รฟม.ยันเงื่อนไขต้องชัดเจน เหตุหนี้ยังต้องรอโอนหลังกทม.กู้เงิน ซึ่งคาดว่าจะเป็นก.พ.62 เหตุ สบน.สรุปแผนหนี้ปี 62 ไปแล้ว โดยรายงานคืบหน้าคจร.วันนี้ (17 ต.ค.) พร้อมขอเพิ่มส่วนต่อขยาย "โมโนเรลสีเหลืองและสีชมพู" ในแผนแม่บทฯ
  • ส.อ.ท. เกาะติดสงครามการค้าจีนและสหรัฐฯ ใกล้ชิดหลังสหรัฐฯ จะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนระลอก 2 ไทยหนีไม่พ้นแน่ แม้ปีนี้ยังมองว่าส่งออกจะโตได้ 9-10% แต่ ปีหน้าส่อลดเหลือโต 4-5%

*หุ้นเด่นวันนี้

  • OSP (บมจ. โอสถสภา) เทรดวันนี้วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม โดยเสนอขาย IPO ที่ 25 บาท/หุ้น โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมีกลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม เช่น เอ็ม-150, เอ็ม-สตอร์ม, ลิโพวิตัน-ดี, ฉลาม, ชาร์คคูลไบท์, โสมอิน-ซัม, เอ็มเกลือแร่, เอ็ม-เพรสโซ และเปปทีน 2) ธุรกิจผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ที่ประกอบด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กภายใต้แบรนด์ "เบบี้มายด์" และกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้หญิงภายใต้แบรนด์ "ทเวลฟ์พลัส" นอกจากนี้ บริษัทยังมีการให้บริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน ได้แก่ บริการผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์ และจัดจำหน่ายสินค้าให้กับบุคคลภายนอก และกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ ลูกอมภายใต้แบรนด์โอเล่ และโบตัน
  • QH (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 3.90 บาท มองหุ้น laggard มีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้น leader ในระยะนี้ ซึ่ง QH ดูจะเป็นหุ้น laggard ที่น่าสนใจสุด เพราะแนวโน้มกำไร Q3/61 คาดโตทั้ง Q-Q, Y-Y และได้รับผลกระทบจากมาตรการคุมสินเชื่ออสังหาฯจำกัด อีกทั้ง ปันผลเฉพาะ H2/61 สูงถึง 3-4% ด้านราคาหุ้น 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลง 7% แย่กว่า SET100 ที่ลง 4% ขณะที่ PE และ PBV ที่ 9 เท่า และ 1.3 เท่า อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอดีตทั้งคู่
  • UTP (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 14.35 บาท แนวโน้มผลประกอบการ Q3/61 ยังคงเติบโต จากกำลังการผลิตกระดาษใหม่ที่เข้ามาตั้งแต่ปลาย Q3/60 หนุนต่อเนื่องด้วยปริมาณการผลิต และอัตราการทำกำไรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น (NPM: H1/60 11.3%, H1/62 19%) ด้านราคาอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับผลประกอบการที่เติบโต โดยปัจจุบัน PE Ratio อยู่ที่ 13x หากเทียบกับ PE Ratio ของค่าเฉลี่ย 1 ปี และ SET Index ที่ 20.4x และ 16.7x
  • BBL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 245 บาท คาด Q3/61 มีกำไรสุทธิประมาณ 9,069 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 11%yoy หดตัว 1%qoq ระยะกลางคาด BBL จะได้ผลบวกมากที่สุดจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นเนื่องจากมีสัดส่วนลูกค้ารายใหญ่ (Corporate loan) สูงสุดของกลุ่ม

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ