BGC มองหาโอกาสซื้อกิจการบรรจุภัณฑ์แก้ว-ธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้งในประเทศ-อาเซียน เล็งชงแผนปี 62 เข้าบอร์ด พ.ย.นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 18, 2018 12:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร กรรมการผู้จัดการ บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BGC) เปิดเผยว่า บริษัทมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่องในธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในประเทศและอาเซียน เพื่อขยายกำลังการผลิต แต่คงยังต้องใช้เวลาพิจารณาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากจะต้องเป็นการลงทุนที่เหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่บริษัท ซึ่งหากมีดีลที่เหมาะสมก็พร้อมที่จะพิจารณา

บริษัทอยู่ระหว่างการจัดเตรียมแผนธุรกิจสำหรับปี 62 เพื่อเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทภายในกลางเดือน พ.ย.61 เบื้องต้นคาดว่ารายได้และกำไรสุทธิในปีหน้าจะดีกว่าปี 61 เนื่องจากบริษัทจะรับรู้กำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามาได้เต็มปี และจะได้รับผลดีจากการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศเพิ่ม จากปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม CLMV และโซนยุโรป ซึ่งจะทำให้มาร์จิ้นปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากราคาขายสูงกว่าในประเทศ โดยบริษัทประเมินว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ในปี 62 จากปีนี้ 7-8% และภายใน 5 ปี จะเพิ่มเป็น 20%

ขณะที่บริษัทตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 6%และอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 16% เนื่องจากบริษัทได้เน้นการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยในปัจจุบนราคาเศษแก้วแบบคัดอยู่ที่ 3 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากนี้โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วแห่งใหม่ในจังหวัดราชบุรี มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ผลิตสินค้าในปริมาณมากและต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ นอกจากนี้การผลิตสินค้าได้ตามความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้มาร์จิ้นในการขายสูงขึ้น

ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และอาจส่งผลให้ราคาก๊าซที่เป็นต้นทุนในการผลิตส่งผลปรับตัวขึ้นตามไปด้วย บริษัทได้มีนโยบายบริหารจัดการความเสี่ยงไว้แล้ว โดยการเพิ่มสัดส่วนการใช้เศษแก้วเพื่อทดแทนสัดส่วนการใช้ก๊าซ ซึ่งต้นทุนเศษแก้วและก๊าซในปัจจุบันมีสัดส่วนต้นทุนอยู่ที่ 50% ของต้นทุนรวม

นายศิลปรัตน์ ยังกล่าวถึงทิศทางรายได้ปีนี้ว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปี 60 ที่มีรายได้ 11,221 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ปิดโรงงานที่จังหวัดระยอง กำลังการผลิต 200 ตันต่อวัน ทำให้กำลังการผลิตรวมทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากเดือน พ.ย.ที่การย้ายเครื่องจักรบางส่วนไปยังโรงงานใหม่กำลังการผลิต 400 ตันต่อวันแล้วเสร็จ จะทำให้กำลังการผลิตรวมเพิ่มเป็น 3,495 ตันต่อวัน ส่งผลให้สามารถผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้นตามคำสั่งซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ