TIGER วางเป้าโตต่อเนื่อง 30% ในช่วง 3-5 ปี ชูจุดเด่นเชี่ยวชาญงานระบบลุยกวาดงานเพิ่มหลังได้เงิน IPO เสริมแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 17, 2018 10:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจตุรงค์ ศรีกุลเรืองโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทย อิงเกอร์ โฮลดิ้ง (TIGER) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย อิงเกอร์ จำกัด (TEC) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทได้วางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ใน 3-5 ปีข้างหน้าเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 30% ในทุก ๆ ปี หลังจากได้รับเงินระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เสริมความแข็งแกร่งทางการเงินเพื่อเพิ่มขนาดโครงการและโอกาสที่บริษัทสามารถเข้ารับงาน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานให้เติบโตได้ดียิ่งขึ้น

"เรายังเป็นหุ้นน้องใหม่และเล็กมาก เราจะยังรักษาการเติบโตได้ใน 5-10 ปีเชื่อว่าไม่ยาก หุ้นเราน่าสนใจที่เล็กและเติบโตได้ดี และถึงแม้ว่าในกลุ่มธุรกิจรับเหมายังถือว่ามีการแข่งขันค่อนข้างสูงจากอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่เรายังคงเลือกที่จะเข้าประมูลงานที่เรามีความชำนาญและมีความมั่นใจว่าจะได้รับงาน โดยเฉพาะงานที่มีงานระบบเยอะๆ ซึ่งการเข้าประมูลงานแต่ละครั้งเราคาดหวังว่าจะได้งานอย่างน้อย 50% เนื่องจากในกลุ่มที่เราอยู่การแข่งขันจะน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ"นายจตุรงค์ กล่าว

TIGER เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 122.28 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น โดยเสนอขายในราคา 3.65 บาท/หุ้น ซึ่งมีกำหนดนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 24 ต.ค.นี้ ในกลุ่ม "อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง" โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า TIGER

บริษัทประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holdind Company) โดยปัจจุบันถือหุ้น 99.99% บริษัท ไทย อิงเกอร์ จำกัด (TEC) ให้บริการรับเหมาก่อสร้างงานวิศวกรรมโยธาอาคารและสาธารณูปโภค ได้แก่ โครงการโรงแรมและรีสอร์ท มีสัดส่วนรายได้ 20-25%, โครงการอาคารสำนักงานและอาคารอื่นๆ เช่น คอนโดมิเนียม แนวราบ สัดส่วนรายได้ 20-25%, โครงการสาธารณูปโภคและงานภาครัฐ สัดส่วนรายได้ 50%, โครงการและงานอื่นๆ เช่น บ้านเดี่ยวราคาสูง (High-end Home) และงานให้บริการงานระบบภายในตัวอาคาร เช่น งานระบบปรับอากาศ และงานปรับปรุงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง มีสัดส่วนรายได้ราว 5%

นายจตุรงค์ กล่าวว่า บริษัทเข้าประมูลงานทั้งในกลุ่มของภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมและรีสอร์ท เนื่องจากการที่ทางภาครัฐได้มีการสนับสนุนการท่องเที่ยวของไทยให้มีการเติบโตในทุกๆ ปี ส่งผลให้กลุ่มงานก่อสร้างโรงแรมและรีสอร์ทมีการเติบโตไปด้วย

ขณะที่กลุ่มสาธารณูปโภคและงานภาครัฐมีสัดส่วนมากถึง 50% ของรายได้รวม เนื่องจากรัฐบาลได้เร่งการลงทุนโครงการต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก โดยปัจจุบันบริษัทมีความคุ้นเคยกับการรับงานระบบจากผู้ที่ประมูลงานต่าง ๆ จากการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ที่มีงานออกมากว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหลังจากที่ได้เงินจาก IPO แล้วบริษัทจะหันมารับงานเอง โดยจะเริ่มจากงานที่มีขนาด 100 ล้านบาทเป็นต้นไป จากก่อนหน้านี้บริษัทรับงานต่อจากผู้รับเหมารายใหญ่เนื่องจากเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ

"ที่ผ่านมาความสามารถในการรับงานของบริษัทไม่มากนัก เพราะติดเรื่องเงินทุนหมุนเวียนที่มีไม่เพียงพอ แต่หลังจากนี้เรื่องเงินทุนหมุนเวียนจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป หลังจากที่เราได้เงินระดมทุนจาก IPO ราว 446 ล้านบาท โดยคิดง่ายๆ เงิน 1 บาทเราสามารถรับงานได้ 5-6 บาท หรือรับงานได้ปีละอย่างน้อย 2,000 ล้านบาท จากเดิมที่เรามีรายได้เพียง 614.55 ล้านบาท โดยการรับงานหลังจากนี้เรายังคงเน้นที่จะรับงานใน 4 กลุ่มหลักที่บอกไปข้างต้นแล้ว ซึ่งเรามีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบการวางระบบ"นายจตุรงค์ กล่าว

ทั้งนี้ กลยุทธ์ที่จะผลักดันการเติบโตในช่วง 3-5 ปีจากนี้จะยังคงเน้นขยายทั้ง 4 กลุ่มรายได้หลัก เนื่องจากมองแนวโน้มที่ยังสามารถเติบโตไปได้ดี ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทที่เติบโตไปกับการท่องเที่ยวของไทยที่มีศักยภาพสูงและได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมไปถึงสาธารณูปโภคและงานภาครัฐที่บริษัทได้เข้าไปมีส่วนร่วมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และอีก 2 ส่วนที่เหลือก็ยังมีการเติบโตได้ค่อนข้างดี

นอกจากนี้ TEC ยังมีบริษัทลูกอย่าง บริษัท ทีอีจี อลูมินั่ม จำกัด (TEA) ที่ถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% โดยเป็นผู้ดำเนินออกแบบและผลิต รวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์สำหรับงานสถาปัตยกรรมและงานตกแต่งจากกระจกและอลูมิเนียม เช่น งานประตู หน้าต่าง ผนังกระจก (Glass Curtain Wall) และแผ่นอลูมิเนียมคอมโพสิท (Aluminum Composite Cladding) เป็นต้น ซึ่งให้บริการแก่ลูกค้าทั่วไป

"สินค้าในกลุ่มนี้มีความต้องการเยอะมาก แต่ผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าในกลุ่มนี้ยังถือว่าน้อยอยู่ ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็ได้มีการทำตลาดมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตให้กับภาพรวมบริษัทในอนาคต"นายจตุรงค์ กล่าว

ขณะที่ บริษัท ทีอี แมค จำกัด (TEM) ถือหุ้นในสัดส่วน 70.00% ดำเนินธุรกิจออกแบบพร้อมติดตั้งระบบน้ำดีและน้ำเสีย ในส่วนนี้เปิดมาเมื่อช่วงต้นปีและยังมีรายได้เข้ามาไม่มากนัก แต่เชื่อว่าในอนาคตจะเข้ามาช่วยสนับสนุน โดยเฉพาะงานให้บริการดูแลและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสียให้กับลูกค้าได้เพิ่มเติม

นายจตุรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทมีอัตราการทำกำไรได้ค่อนข้างดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และมีแผนจะรักษาระดับการทำกำไรให้มีเสถียรภาพต่อไป โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 16-22% และอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% ด้วยการที่บริษัทจะเน้นการเข้ารับงานโครงการที่มีความซับซ้อนและมีงานระบบค่อนข้างมาก โดยบริษัทมีแหล่งซื้ออุปกรณ์และมีพันธมิตรหาอุปกรณ์ที่ให้ราคาต้นทุนที่ดี ช่วยผลักดันให้อัตรากำไร (มาร์จิ้น) อยู่ในระดับสูง

"เรามีแหล่งซื้ออุปกรณ์และมีพันธมิตรหาอุปกรณ์สำหรับใช้ในโครงการต่างๆ ซึ่งอยู่ในส่วนของงานระบบทำให้เราสามารถสู้ราคาได้ทำให้เรามีมาร์จิ้นดี และรักษาระดับมาร์จิ้นได้ค่อนข้างดี แต่ในส่วนของงานโครงสร้าง หรือด้านงานปูนจะเป็นงานที่มาร์จิ้นไม่ได้ดี เพราะส่วนใหญ่มีราคากลางของมันอยู่แล้ว โดยบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 16-22% และอัตรากำไรสุทธิที่ไม่ต่ำกว่า 10% สูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆที่เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 5% ก็ถือว่าหรูแล้ว"นายจตุรงค์ กล่าว

https://youtu.be/kRq8luAj0AU


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ